เผชิญหน้ากับความผิดหวัง

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

มิถุนายน 8, 2013

ในชีวิตเราแต่ละคน มีบางครั้งที่เรารู้สึกถึงความขมขื่นจากความผิดหวัง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สุดแสนจะทนไหว พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อไม่สมหวัง จิตใจก็เศร้าหมอง” เมื่อไม่สมหวังหรือผิดหวัง ก็พลิกฟื้นได้ยากมาก

เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ไม่ว่าในด้านการงาน การเงิน ความสัมพันธ์ เรื่องลูก ๆ และโอกาสที่พลาดไป ซึ่งเราหวังไว้ ก็ยากมาก และน่าท้อแท้ใจเหลือเกิน คุณรู้สึกโดดเดี่ยวมาก

นี่อาจส่งผลต่อศรัทธาของคุณ คุณอาจเริ่มสงสัยความรักความห่วงใยที่พระองค์มีต่อคุณ เมื่อคุณไม่ได้งานที่อยากได้เหลือเกิน หรือความสัมพันธ์ของคุณดูเหมือนว่าเป็นไปด้วยดี แล้วจู่ ๆ ก็จบลงด้วยความเจ็บปวด หรือเกิดอุปสรรคที่ไม่คาดหมาย เช่น สอบตกในวิชาที่สำคัญ การประเมินผลงานที่ไม่ค่อยดีที่ทำงาน หรือไม่ได้รับเงินทุนสำหรับโครงการมิชชั่นตามที่สัญญาไว้

ในช่วงเวลาเช่นนี้ ปัจจุบันไม่เพียงยากลำบาก ทว่าอนาคตก็ดูมืดมนด้วย คุณอาจฉงนใจว่า “พระองค์อยู่ที่ไหน พระองค์ตระหนักถึงสถานการณ์ของฉันไหม พระองค์ห่วงใยหรือเปล่า”

แล้วที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีก เป็นการง่ายที่จะมองคนรอบข้าง และฉงนใจว่าทำไมบางคนซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า กลับดูเหมือนว่าไปได้สวย บางครั้งก็นี่ดูสับสนจริง ๆ

ความผิดหวังอย่างที่สุด อาจเป็นเหตุให้วิตกกังวล เครียด และนอนไม่หลับ ขณะที่คุณกระสับกระส่ายทั้งคืน ครุ่นคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และคุณจะไปรอดได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็หวังที่จะได้เห็นสัญญาณอย่างที่สุด คือเห็นผลที่ประจักษ์ชัด หรือข่าวดีที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้าเฝ้าดูแลคุณ

ความไม่สมหวังหรือผิดหวัง นำไปสู่ความท้อแท้ใจ ความหดหู่ และความสิ้นหวัง เมื่อคุณผิดหวัง ราวกับมีเมฆหมอกทึบปกคลุม ก็ถึงเวลาหันไปหาพระเจ้า ถึงแม้ว่าตอนนั้นคุณจะรู้สึกว่าพระองค์ทอดทิ้งคุณ คุณอาจโมโหพระองค์ คุณอาจรู้สึกว่าถูกละเลยหรือขับไล่ไสส่ง คุณอาจมีคำถามต่าง ๆ นานา ขอให้พูดคุยกับพระองค์ ถ้าคุณโมโห และรู้สึกว่าหากระบายออกมาจะช่วยได้ ก็ระบายกับพระองค์ คุณบอกพระองค์ตรง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไร พระองค์จะไม่ขุ่นเคืองใจ เมื่อคุณอยู่ในวังวนของความผิดหวังและสิ้นหวัง ก็ควรหันไปหาพระองค์ อย่าปิดกั้นพระองค์ไว้ ทว่าให้พระองค์เข้ามา และบอกให้พระองค์รับรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร หมายพึ่งความช่วยเหลือจากพระองค์ ฝากความผิดหวังไว้กับพระองค์ แล้วสรรเสริญและขอบคุณพระองค์สำหรับชัยชนะ ซึ่งจะมาถึง แม้ว่าคุณจะมองไม่เห็นหรือไม่รู้สึก ถึงแม้คุณจะรู้สึกว่าคงไม่มีวันฟันฝ่าความผิดหวังนี้ไปได้

ขอให้ฟังกษัตริย์เดวิดบอกเล่าปัญหากับพระเจ้า ในยามที่สิ้นหวัง ผมอ่านข้อความจากเพลงสดุดี 31

ชีวิตของข้ารันทดด้วยความทุกข์โศก และวันคืนของข้าหมดไปด้วยการถอนหายใจ กำลังของข้าอ่อนล้า เพราะโรคภัยไข้เจ็บ และกระดูกข้าก็เสื่อม ข้าเป็นที่ดูแคลนท่ามกลางปฏิปักษ์ของข้า โดยเฉพาะท่ามกลางเพื่อนบ้าน ข้าเป็นที่น่าหวาดหวั่นต่อเพื่อนมิตร ผู้ที่พบเห็นข้าก็หนีไป เขาลืมข้า ประหนึ่งว่าเป็นคนตายแล้ว ข้าเหมือนภาชนะที่แตกหัก

ข้าได้ยินเสียงครหาของคนเป็นอันมาก มีความพรั่นพรึงรอบด้าน ขณะที่เขาร่วมกันคิดแผนการต่อสู้ข้า ขณะที่เขาปองร้ายชีวิตของข้า ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่ข้าวางใจในพระองค์ ข้าทูลว่า “พระองค์เป็นพระเจ้าของข้า” วันเวลาของข้าอยู่ในหัตถ์ของพระองค์ ขอพระองค์ช่วยข้าให้พ้นเงื้อมมือศัตรู และผู้ข่มเหงข้า ขอให้พักตร์ของพระองค์ทอแสงส่องผู้รับใช้ของพระองค์ ช่วยข้าให้รอดด้วยความเมตตาของพระองค์ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ อย่าให้ข้าได้อาย เพราะข้าร้องทูลพระองค์

จากนั้นเดวิดบ่งบอกถึงความศรัทธาต่อไป และสรรเสริญพระเจ้า เขากล่าวว่า

สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์แสดงความเมตตาอย่างน่าอัศจรรย์แก่ข้า ในเมืองที่ถูกโอบล้อม ข้ากล่าวอย่างตกใจว่า “ข้าถูกตัดขาดจากสายพระเนตรพระองค์แล้ว” แต่พระองค์ยังได้ยินคำวิงวอนของข้า บรรดาวิสุทธิชนของพระองค์ จงรักพระเยโฮวาห์ ผู้พิทักษ์รักษาคนสัตย์ซื่อไว้ จงเข้มแข็ง และพระองค์จะให้ใจของท่านกล้าหาญ ท่านทั้งปวงผู้หวังใจในพระเยโฮวาห์ (เพลงสดุดี 31:10-17, 21-24)

พระเจ้ารักเรา พระองค์ได้ยินเสียงร่ำร้องในใจเรา พระองค์มีพลังที่จะจัดการแก้ไขปัญหาและส่วนที่เราขาดตกบกพร่อง พระองค์คาดหมายให้เราฝากความจำเป็น ความยากลำบาก และความผิดหวังไว้กับพระองค์ในคำอธิษฐาน ด้วยความศรัทธา

มีปฏิกิริยาต่าง ๆ นานาต่อความผิดหวัง เราอาจบอกว่า “ทำไมพระองค์ ทำไมต้องเป็นฉัน ฉันไม่สมควรประสบกับเรื่องเช่นนี้” หรือเราอาจมองข้ามสภาพการณ์ปัจจุบันไปเสีย และไว้วางใจว่าพระองค์คงจะดำเนินงานในชีวิตเรา ในหนทางที่เราไม่เข้าใจ ดังนั้นแทนที่จะบอกว่า “ทำไมต้องเป็นฉันพระองค์” ปฏิกิริยาที่ดีกว่าอาจได้แก่ “มีอะไรอีกพระองค์ พระองค์กำลังทำอะไรในชีวิตฉัน ตอนนี้ฉันควรจะทำอะไร” ระลึกไว้ว่าบ่อยครั้งเมื่อพระเจ้าปิดประตู พระองค์ก็จะเปิดหน้าต่างให้

เพื่อนรักคนหนึ่งเล่าเรื่องลูกชายให้มาเรียกับผมฟัง เขาต้องย้ายครอบครัวซึ่งมีลูกหลายคน ออกจากบ้านที่เช่าอยู่ เขากับภรรยาตัดสินใจซื้อบ้าน และเจอบ้านที่ชอบพอดีเลย เจ้าของบ้านชอบเขา และดูเหมือนว่าจะยอมรับราคาที่เขาเสนอให้ เจ้าของบ้านบอกว่าอยากให้เขาเสนอราคาบ้าน ถึงแม้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเงินครบตามที่เจ้าของบ้านคาดหมาย วันต่อมาเขาอธิษฐานดูว่าบ้านนี้เป็นบ้านที่ควรจะซื้อหรือไม่ พระองค์ชี้ให้เห็นว่านี่คือบ้านที่พระองค์จัดเตรียมไว้สำหรับเขา

ทันทีที่เขาตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะซื้อบ้าน นายหน้าโทรมาบอกว่าเจ้าของบ้านรับข้อเสนออื่นไปแล้ว เขาท้อใจ เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าชี้ให้เห็นว่าใช่บ้านหลังนี้ และเจ้าของบ้านบอกเองว่าจะยอมรับข้อเสนอของเขา แต่กลับยอมรับข้อเสนอของคนอื่น บรรยากาศมีแต่ความผิดหวัง

เรื่องไม่ได้จบลงแค่นี้ สองสามวันต่อมา เจ้าของบ้านโทรมาอธิบายว่า เขาคิดว่าข้อเสนอที่เขาตกลงเป็นข้อเสนอของลูกชายเพื่อน เมื่อเขาตระหนักว่าไม่ใช่ เขาก็ยกเลิกข้อเสนอดังกล่าว และขอให้เขาส่งข้อเสนอเข้ามาอย่างเป็นทางการ เพราะว่าอยากจะขายบ้านให้เขา มีเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับธนาคาร ที่อาจระงับข้อตกลง ซึ่งเกือบตัดโอกาสที่จะซื้อบ้านหลังนี้ แต่ในที่สุดเรื่องก็เรียบร้อย เขาได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ ประตูปิด เกิดความผิดหวัง แต่แล้วพระเจ้าก็เปิดหน้าต่างให้

ต่อไปนี้เป็นการตอบรับและทัศนคติที่มีส่วนช่วยได้ เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง

1. เผชิญหน้ากับความผิดหวังด้วยศรัทธา อย่ากลัวยามที่ยากลำบาก ทว่ามองดูว่าเป็นความท้าทาย บ่อยครั้งคนเราเติบโตมากที่สุดในยามที่ยากลำบาก

2. อย่าหัวเสีย อย่าเริ่มพร่ำบ่นคร่ำครวญ อย่าพัฒนาทรรศนะที่รู้สึกสงสารตัวเอง และบอกกล่าวความหงุดหงิดให้ทุกคนที่รู้จักรับรู้ ขอให้อดทน และบอกกล่าวถึงความศรัทธา พระเจ้าทำได้ และบ่อยครั้งก็บันดาลให้ความผิดหวังส่งผลดีต่อเรา

3. มีทรรศนะที่เปี่ยมด้วยความสำนึกในบุญคุณ รวมทั้งทรรศนะที่ไว้วางใจ “จงให้สันติสุขของพระเจ้าครอบครองอยู่ในใจท่าน ... ท่านจงขอบพระคุณ” (โคโลสี 3:15)

4. อย่าล้มเลิก อย่าหมดความกระตือรือร้น พยายามมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป ดังที่เรากล่าวกันบ่อย ๆ ว่า ช่วงเวลามืดมิดที่สุดคือก่อนรุ่งอรุณ

เมื่อไม่นานมานี้มีคนบอกผมว่าพระเจ้ากล่าวกับเธอถึงเรื่องนี้ เมื่อเธอแกะขนมดวงดี และอ่านข้อความที่อยู่ข้างใน ว่า “ชีวิตยากลำบากที่สุดก่อนถึงจุดสูงสุด” บางครั้งผมทึ่งใจจริง ๆ ที่พระองค์กล่าวกับเราในทางที่น่าขันและแตกต่างไป เช่น ขนมดวงดี

พระเจ้าบ่งบอกอย่างบชัดเจนว่า “ในโลกนี้เราจะประสบความทุกข์ยาก” ซึ่งก็คือเรื่องยุ่งยากใจและความผิดหวัง (ยอห์น 16:33) ทว่านั่นไม่ใช่ตอนจบของเรื่อง แน่นอนว่ามีความผิดหวังในชีวิต ทว่าความผิดหวังเหล่านั้นไม่ใช่ทางตัน เส้นทางชีวิตดำเนินไปต่อ ขณะที่เราเดินทาง เราผ่านความผิดหวัง บททดสอบ และเรื่องทุกข์ร้อนใจไป

ช่วงหนึ่งที่ยากลำบากและน่าท้อใจที่สุดสำหรับชนชาติอิสราเอลในกาลก่อน พระเจ้าบอกเขาว่า “แผนที่เราวางไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนเพื่อความเจริญก้าวหน้า ไม่ใช่เพื่อผลร้าย เป็นแผนที่จะให้อนาคตตามที่หวังไว้ (เยเรมีย์ 29:11)

ชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้ามอบดินแดนแห่งคำสัญญาให้ ซึ่งพระองค์บอกว่าเป็นผู้คนของพระองค์ โดยที่ตั้งวิหารของพระองค์ไว้ในหมู่พวกเขา ซึ่งพระองค์สถิตอยู่ เพื่อเขาจะได้นมัสการพระองค์ ต้องถูกอาณาจักรบาบูโลนโค่นล้ม ดินแดนถูกยึดครอง วิหารถูกทำลาย ผู้คนส่วนใหญ่ถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่บาบูโลน ดูเหมือนว่าคำสัญญาของพระเจ้าถูกเพิกถอน เพราะบาปของเขา เขาไม่ได้ครอบครองดินแดนแห่งคำสัญญาอีกต่อไป เขาไม่มีวิหาร เขาไม่รู้ว่าจะนมัสการและขอขมาจากบาปอย่างไร ในเมื่อไม่มีวิหาร เขาดิ้นรนกับความสงสัยว่าพระเจ้ายังรักเขาอยู่หรือไม่ เขายังเป็นผู้คนของพระองค์อยู่หรือเปล่า ความฝัน ศรัทธา และความหวังของเขาสลายไปสิ้น

ระหว่างที่พ่ายแพ้และผิดหวังครั้งนี้ ผู้พยากรณ์เยเรมีย์เขียนจดหมายส่งไปที่บาบูโลน ว่าพระเจ้าบอกกล่าวอะไรกับพวกเขาในคราวนี้ เมื่อประสบวิกฤตด้านความศรัทธา ผู้พยากรณ์บอกเขาให้ดำเนินชีวิตต่อไป โดยเพาะปลูก สมรส มีลูกหลาน เมื่อถึงเวลาพระองค์จะปลดปล่อยเขาจากสถานการณ์ดังกล่าว พระองค์จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าจะเกิดขึ้นวันนี้ แต่พระองค์สัญญาว่าจะเกิดขึ้น พระองค์กล่าวว่า “เรารู้ถึงแผนที่เราวางไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนเพื่อความผาสุก ไม่ใช่เพื่อเหตุร้าย เพื่อจะให้อนาคตตามที่หวังไว้แก่เจ้า เจ้าจะทูลขอเรา อธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเรา และพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราสุดใจ” (เยเรมีย์ 29:11-13)

ความหวังและความฝันที่แตกสลาย ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้าย พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีแผนการสำหรับคุณ เป็นแผนการที่ส่งผลดี ไม่ใช่ผลเสีย พระคัมภีร์ฉบับหนึ่งแปลไว้ว่า “เพราะเรารู้ถึงความนึกคิดที่เรามีต่อเจ้า พระเยโฮวาห์กล่าว เป็นความคิดเพื่อสันติสุข ไม่ใช่เพื่อผลร้าย เพื่อมอบอนาคตและความหวังแก่เจ้า” (เยเรมีย์ 29:11)

พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเราในยามที่ผิดหวัง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์สถิตอยู่ด้วย พระองค์นึกคิดต่อเราในสิ่งดี ๆ พระองค์มีแผนการสำหรับอนาคตของเรา พระองค์อยากให้เราดำเนินชีวิตต่อไป โดยไม่ล้มเลิก มีความหวังในวันข้างหน้า ถึงแม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะดูเลวร้ายในวันนี้ กุญแจสำคัญคือการหมายพึ่งพระองค์ โดยที่ทราบว่าพระองค์รักและห่วงใยเรา พระองค์จะพาเราก้าวไปสู่อนาคต ไม่ใช่มุ่งหมายให้เราหยุดดำเนินชีวิต และหมดหวัง ทว่ามุ่งหน้าต่อไปด้วยศรัทธา และความไว้วางใจ พระองค์จะเยียวยารักษา สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไป ชีวิตจะดำเนินต่อไป และมีความหวังอยู่เบื้องหน้า

เป็นการดีที่จะระลึกไว้ว่า มีบางครั้งเมื่อดูเหมือนว่าบางสิ่งเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เป็นการสูญเสียที่เลวร้ายอย่างถาวร ซึ่งคุณรู้สึกว่าคงไม่มีทางฟื้นตัวได้ ทว่าบ่อยครั้งมีส่วนที่แอบแฝงอยู่ในสถานการณ์นั้น บางครั้งพระเจ้าดำเนินการอย่างเร้นลับมาก ในทางที่เราไม่หยั่งรู้

ส่วนมากขึ้นอยู่กับการที่เราตอบรับต่อความผิดหวัง เราฮึดสู้ด้วยความทรหดหรือไม่ โดยไว้วางใจว่าจะเห็นผลดี และได้รับพรจากพระเจ้าผู้ที่เรารัก หรือว่าเราจะมัวสงสารตัวเอง และคร่ำครวญ ดังที่ริค วาร์เรน กล่าวไว้ในหนังสือ The Purpose Driven Life (ชีวิตที่มีจุดหมายเป็นแรงผลักดัน) ว่า ในยามประสบความยากลำบาก เราควรจะ “อธิษฐานว่า ‘ปลอบโยนฉัน’ ให้น้อยลง” นั่นเป็นคำอธิษฐานในทำนองว่า “โปรดช่วยให้ฉันรู้สึกดี” แต่ขอให้ “อธิษฐานว่า ‘เปลี่ยนฉัน’ มากขึ้น” อีกนัยหนึ่งก็คือ “ขอสิ่งนี้สร้างฉันให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น พระเยซู”

บิลลี่ เกรแฮม กล่าวว่า “ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่ร่าเริงเบิกบานตลอดเวลา ผมประสบช่วงที่ท้อแท้อย่างที่สุด ผมต้องหันไปหาพระเจ้าในคำอธิษฐาน ด้วยน้ำตานองหน้า และกล่าวว่า ‘โปรดให้อภัยผมด้วย’ หรือ ‘โปรดช่วยผมด้วย’”

นอกจากนี้อย่าลืมว่าพระเจ้าอาจมีอะไรบางอย่างที่น่าแปลกใจ พระองค์อาจดำเนินการเบื้องหลังฉาก ในแง่ที่คุณไม่เห็นหรือไม่เข้าใจ ดังนั้นเราเพียงต้องไว้วางใจพระองค์ โดยทราบว่าพระองค์รู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าเราไม่รู้

ในคำเทศนาครั้งหนึ่ง เบร็ต โทแมน เล่าเรื่องที่ทรงพลังให้ฟังว่า

รูบี้ ฮามิลตัน นักธุรกิจหญิงวัยห้าสิบปี ตะลึงงันที่สูญเสียสามีวัย 32 ปี ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอโมโหและผิดหวังล้ำลึกยิ่งกว่าการบ่งบอกถึงความเศร้าโศกทั่วไป เธอกลายเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ตอนอายุยี่สิบกว่า แต่สามีของเธอไม่มีส่วนร่วมด้วยกับความสนใจในเรื่องทางวิญญาณที่เธอเพิ่งค้นพบ อย่างไรก็ตาม เธอเริ่มอธิษฐานเผื่อเขาด้วยใจแรงกล้าไม่หยุด โดยขอให้เขาได้รู้จักพระองค์ วันหนึ่งขณะที่เธออธิษฐาน เธอรู้สึกถึงความสงบที่ท่วมท้นจิตใจเธอ และเสียงกระซิบแผ่วเบาที่บอกให้เธออุ่นใจว่าสามีจะไม่เป็นไร เธอเฝ้าคอยด้วยความกระตือรือร้นให้ถึงวันที่สามีจะยอมถวายชีวิตต่อพระเยซู แล้วเขากลับมาเสียชีวิตก่อนถึงเวลานั้น

คุณจะทำอย่างไร เมื่อดูเหมือนว่าศรัทธาไม่มีเหตุผล เมื่อดูเหมือนพระเจ้าไม่ตอบ หรือไม่เปิดประตูให้ รูบี้ ฮามิลตัน เลิกดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า

โรเจอร์ ซิมมอนส์ โบกรถกลับบ้าน เขาไม่มีวันลืมวันนั้นเลย เป็นวันที่ 7 พฤษภาคม กระเป๋าของเขาหนักอึ้ง เขาร้อนใจอยากถอดเครื่องแบบทหารออกเสียที เขาโบกรถคันที่ผ่านมา เขาหมดหวังเมื่อเห็นว่าเป็นรถคาดิลแลคคันใหญ่สีดำมันขลับ แต่เขาต้องประหลาดใจ เพราะรถคันนั้นหยุดรับ

ประตูฟากคนนั่งเปิดออก เขาวิ่งไปที่รถ วางกระเป๋าไว้ที่เบาะหลัง แล้วขอบคุณชายรูปหล่อ แต่งตัวดี ขณะที่เดินขึ้นไปนั่งเบาะข้างหน้า

“กลับบ้านหลังปลดประจำการเหรอ”

“ใช่ครับ”

“คุณโชคดี ผมจะไปชิคาโก”

“ผมไปถึงหรอก คุณอยู่ที่ชิคาโกหรือครับ”

“ผมมีธุรกิจที่นั่น” คนขับตอบ “ผมชื่อฮามิลตัน”

เขาคุยกันพักหนึ่ง แล้วโรเจอร์ ผู้เป็นคริสเตียน รู้สึกถึงแรงผลักดันในใจให้บอกเล่าความศรัทธาของเขากับชายวัยห้าสิบปีผู้นี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ลังเล จนกระทั่งตระหนักว่าอีก 30 นาที เขาจะถึงบ้านแล้ว ถ้าเขาไม่ทำตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสอีก

“คุณฮามิลตัน ผมอยากคุยเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากกับคุณครับ” แล้วเขาก็บอกแผนการง่าย ๆ เรื่องความรอดแก่นายฮามิลตัน ในที่สุดก็ถามว่าอยากจะรับพระเยซูไว้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและองค์พระผู้เป็นเจ้าไหม

เขาหักรถคาดิลแลคเข้าไปจอดที่ไหล่ทาง โรเจอร์คาดว่าจะถูกไล่ลงจากรถ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นักธุรกิจผู้นั้นก้มหัวน้อมรับพระคริสต์ แล้วก็ขอบคุณโรเจอร์ เขาบอกว่า “นี่คือสิ่งวิเศษสุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม”

ห้าปีผ่านไป โรเจอร์แต่งงาน มีบุตรสองคน และมีธุรกิจของตัวเอง เขาเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไปชิคาโก เขาพบนามบัตรสีขาวซึ่งฮามิลตันให้ไว้เมื่อห้าปีก่อน ที่ชิคาโกเขาไปยังบริษัทฮามิลตันเอ็นเทอร์ไพรส์ พนักงานต้อนรับบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพบนายฮามิลตัน แต่เขาพบคุณนายฮามิลตันได้ เขาค่อนข้างงุนงง มีคนพาเขาเข้าไปในออฟฟิศหรูหรา ซึ่งเขาเผชิญหน้ากับหญิงวัยห้าสิบปี ผู้มีสายตาแหลมคม

เธอจับมือทักทายเขา และกล่าวว่า “คุณรู้จักสามีฉันหรือ”

โรเจอร์เล่าให้เธอฟังว่านายฮามิลตันจอดรับเขา ขณะที่โบกรถกลับบ้าน หลังสงครามสงบ “คุณเล่าให้ฟังได้ไหมว่าเป็นวันอะไร”

“ได้ครับ วันที่ 7 พฤษภาคม เมื่อห้าปีที่แล้ว เป็นวันที่ผมปลดประจำการ”

“มีอะไรพิเศษไหมในวันนั้น” เธอถาม

เขาลังเลใจ ไม่ทรบว่าควรเล่าให้ฟังถึงการที่เขาบอกข่าวสารเรื่องพระเยซูกับสามีเธอหรือไม่ “คุณนายฮามิลตันครับ ผมอธิบายเรื่องพระกิตติคุณให้กับสามีของคุณ เขาจอดรถข้างทางและร่ำไห้ซบพวงมาลัยรถ เขามอบชีวิตให้กับพระคริสต์วันนั้นครับ”

เธอสะอึกสะอื้น จนร่างสั่นเทิ้ม ในที่สุดเมื่อรวบรวมสติได้ เธอบอกว่า “ฉันอธิษฐานขอให้สามีได้รับความรอดนานหลายปี ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะช่วยให้เขารอด”

“สามีคุณอยู่ที่ไหนครับ คุณรูบี้”

“เขาเสียชีวิตแล้ว รถเขาเกิดอุบัติเหตุ หลังจากที่คุณลงรถไป เขาไม่เคยกลับถึงบ้าน ฉันคิดว่าพระเจ้าไม่ได้รักษาคำสัญญา ฉันเลิกดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้าเมื่อห้าปีก่อน เพราะฉันคิดว่าพระเจ้าไม่รักษาคำพูด!”[1]

นี่เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าซาบซึ้ง ว่าเราไม่เล็งเห็นทุกอย่างที่พระเจ้าเห็น พระองค์อาจตอบคำอธิษฐานในแง่ที่เรายังไม่เข้าใจ อย่าหมดศรัทธา พระเจ้าไม่ล้มเหลว พระองค์รักษาคำพูด แผนการของพระองค์อาจแตกต่างไปจากที่เราคาดหมาย ทว่าพระองค์ทำทุกสิ่งเป็นอย่างดี (ดู มาระโก 7:37) คุณอาจไม่เล็งเห็นคำตอบชั่วระยะหนึ่ง เช่น ในกรณีของรูบี้ ต้องใช้เวลาห้าปี ทว่าเราควรจะคงไว้ซึ่งความศรัทธา ไว้วางใจในพระเจ้า และไม่ล้มเลิก แผนการที่พระองค์มีไว้สำหรับผู้ที่รักและติดตามพระองค์ เป็นแผนการที่ส่งผลดี ไม่ใช่ผลเสีย

ระลึกไว้ว่า

พระเจ้ารักคุณ

พระองค์อยู่ฝ่ายคุณ พระองค์มุ่งหวังให้คุณได้รับผลประโยชน์สูงสุด

พระองค์จะปลอบโยนคุณ และใกล้ชิดคุณ

พระองค์ดำเนินการเพื่อคุณ คุณไว้วางใจพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม ทั้งในยามดีและยามร้าย

ไม่มีใครทรงพลังยิ่งกว่าพระเจ้า และไม่มีใครรักคุณยิ่งกว่าพระเจ้า

พระเยซูกล่าวว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก อย่ากลัวเลย” แม้ในยามที่เผชิญหน้ากับความผิดหวัง (ยอห์น 14:17)

(คำอธิษฐาน:) ข้าแต่พระองค์ เราทุกคนต่างก็เผชิญหน้ากับความผิดหวังในชีวิต บ่อยครั้งก็มากกว่าหนึ่งครั้ง นี่อาจทำให้รู้สึกพ่ายแพ้ เป็นเรื่องที่ยากเย็น และน่าท้อใจอย่างยิ่ง นี่อาจชักนำให้เรารู้สึกสิ้นหวัง และหมดอาลัยตายอยาก ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับความผิดหวังเช่นนี้ เมื่อเราพบว่าชีวิตเราอยู่บนเส้นทางที่ไม่ได้วางแผนไว้ หรือมีอะไรเกิดขึ้นที่แตกต่างไป ซึ่งเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และจะเปลี่ยนอนาคตของเรา โปรดช่วยเราด้วย อย่าให้เราสิ้นหวัง อย่าให้เราผิดหวัง ทว่าช่วยให้เราหมายพึ่งพระองค์ โดยที่รู้ว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย พระองค์รักเรา พระองค์ห่วงใยเรา พระองค์หวังให้เราได้รับผลประโยชน์สูงสุด

เราอาจไม่เข้าใจ เราอาจโมโห ผิดหวัง รู้สึกแย่มาก แม้แต่สงสัยข้องใจในพระองค์ ทว่าพระเยซู ช่วยให้เราไว้วางใจ โดยที่รู้ว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วยเสมอ พระองค์สถิตอยู่ด้วยในยามมืดมิดที่สุด ไม่ใช่เฉพาะเมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทว่าเมื่อสิ่งต่าง ๆ ยากลำบากที่สุด ช่วยให้เราไว้วางใจพระองค์ พระเยซู ช่วยให้เราฝากความรักและฝากหัวใจไว้ในหัตถ์ของพระองค์ โดยรู้ว่าพระองค์จะโอบอุ้มเรา พระองค์จะช่วยให้เราฟันฝ่าไป พระองค์จะช่วยให้เราผ่านพ้นยามมืดมิดนี้ไปได้ หุบเขามรณะมีทางเข้า และก็มีทางออก ไม่ใช่จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ถ้าเรายึดพระองค์ไว้ให้มั่น เราจะได้เห็นสิ่งที่งดงาม จากสภาพที่เราคิดว่าน่าเกลียดและเลวร้ายในวันนี้

โปรดให้เรามีศรัทธาที่จะไว้วางใจพระองค์ พระเยซู เรารักพระองค์ เราต้องการพระองค์ เราขออธิษฐานว่าถ้ามีใครที่เผชิญหน้ากับความยากลำบากในตอนนี้ ขอให้พระองค์พูดกับจิตใจเขา ดลใจให้เขาหมายพึ่งพระองค์ และตระหนักว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วย พระองค์โอบอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน พระองค์ห่วงใยเขา ความคิดและแผนการที่พระองค์มีไว้ เพื่อส่งผลดี ไม่ใช่ผลเสีย พระองค์จะอวยพรเขา พระองค์จะช่วยให้เขาผ่านพ้นไปได้ ในนามพระเยซู ผมขออธิษฐาน ขอบคุณพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรคุณ


[1] แรงชักจูงอย่างมากในข่าวสารนี้มาจาก จอห์น ไพเพอร์ หัวข้อ “The Spring of Persistent Public Love” (แรงผลักดันของความรักที่ไม่ลดละ) เว็บไซท์ DesiringGod.org. จากคำเทศนาของเบร็ต โทแมน หัวข้อ “Power to Live the Golden Rule” (พลังที่จะดำเนินชีวิตตามกฎทอง) 1/3/2011

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้