การตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า ตอนที่ 1: ค้นหาความประสงค์ของพระเจ้า

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

มีนาคม 25, 2014

เนื่องจากถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาตามฉายาของพระเจ้า ลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ มีอิสระในการตัดสินใจ ซึ่งรวมถึงการสามารถตัดสินใจ และมีความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์จากการตัดสินใจ การรู้จักตัดสินใจ ซึ่งจะถวายสง่าราศีแด่พระเจ้า และทำตามความประสงค์ของพระองค์ในชีวิต คงน่าท้าทายในบางครั้ง นี่อาจเป็นบททดสอบ และช่วยให้ศรัทธาเพิ่มพูนขึ้น ขณะที่เราแสวงหาความประสงค์ของพระองค์ และรอคอยพระองค์ เพื่อขอคำตอบและแนวทาง

การรับพระเยซูไว้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และรับความรอด ซึ่งเป็นของขวัญฟรีจากพระองค์ คือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดเท่าที่เราเคยประสบในชีวิต เพราะนี่เป็นตัวกำหนดจุดยืนชั่วนิรันดร์ ในความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์ การตัดสินใจครั้งนั้นควรจะเปลี่ยนแนวทางการตัดสินใจ ที่เราจะดำเนินไปตลอดชีวิตส่วนที่เหลือ ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร รวมทั้งความสัมพันธ์ที่เรามีกับผู้อื่น และความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดครั้งนั้น เป็นตัวกำหนดปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งกำหนดอดีตของเราเสียใหม่ โดยยกเลิกคดีความต่างๆ ที่ “ต่อต้านและปรักปรำเรา โดยที่ตรึง[มัน]ไว้บนไม้กางเขน”[1]

การตัดสินใจรับพระคริสต์ไว้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือการตัดสินใจที่เราผู้เดียวทำได้ เป็นการตัดสินใจเลือกโดยอิสระ ที่จะเชื้อเชิญพระเยซูเข้ามาสู่ชีวิตจิตใจของเรา อย่างไรก็ตาม ความรอดไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เมื่อเรามอบชีวิตให้กับพระองค์แล้ว เราก็เผชิญหน้ากับการตัดสินใจอื่นๆ มากมาย เป็นประจำทุกวัน เกี่ยวกับการปลูกฝังความศรัทธาผ่านการศึกษาพระคำของพระองค์ และการดำเนินชีวิตตามบัญชาและแนวทางของพระองค์ ในการสานสัมพันธ์กับพระเจ้า เราก็จะอยากให้พระองค์มีส่วนร่วมในขั้นตอนการตัดสินใจ อันที่จริงแล้ว การรู้จักตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า คือบทเรียนสำคัญอย่างหนึ่งที่เราเรียนรู้ ขณะอยู่ในโลก

การตัดสินใจสำหรับคริสเตียน ควรจะเป็นขั้นตอนในความสัมพันธ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเราเอง และพระเจ้า ขณะที่เราฝากความกลัดกลุ้มทุกอย่างไว้กับพระองค์ โดยรู้ว่าพระองค์ห่วงใยเรา[2] พระเยซูสัญญาว่าพระองค์และพระบิดาจะพำนักอยู่กับทุกคนที่รักพระองค์ และทำตามพระคำของพระองค์[3] พระองค์บอกเราว่า “มาเถิด ให้เรามาหาเหตุผลด้วยกัน”[4] นี่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ปรารถนาที่จะสนทนากับเรา พระองค์ต้องการมีส่วนร่วมสนทนา ขณะที่เราตัดสินใจ และสัญญาว่าพระวิญญาณของพระองค์ในเรา จะชี้แนะนำทางเราไปสู่ความจริงทั้งสิ้น[5]

ตลอดชีวิตเรา ในฐานะคริสเตียน เราเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่เปลี่ยนแนวทางชีวิต ซึ่งส่งผลต่ออนาคตของเรา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรประกอบอาชีพอะไร แต่งงานกับใคร เลี้ยงดูลูกอย่างไร อาศัยอยู่ในประเทศไหน หรือการปวารณาตนต่อความศรัทธา และมีส่วนร่วมในการงานของพระเจ้าอย่างไร ย่างก้าวหนึ่งที่สำคัญที่สุด ในการค้นหาความประสงค์ของพระเจ้า และการตัดสินใจให้ดี ก็คือ ให้พระองค์มีส่วนรับทราบ และฝากหนทางของเราไว้กับพระองค์

จงวางใจในพระเยโฮวาห์สุดใจของเจ้า อย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง ให้พระองค์รับรู้ในทุกลู่ทาง และพระองค์จะทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น[6]

จงมอบทางของท่านไว้กับพระเยโฮวาห์ วางใจในพระองค์ และพระองค์จะทำให้สำเร็จ[7]

การรู้จักตัดสินใจที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยที่สอดคล้องกับความประสงค์และบัญชาของพระองค์ บ่อยครั้งก็ควบคู่มากับการสำรวจจิตใจ การอธิษฐานสุดจิตสุดใจ และบททดสอบ บางครั้งก็ยากที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคือความประสงค์ของพระเจ้า ในสถานการณ์หนึ่ง หรือการตัดสินใจใดจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในช่วงเวลาเช่นนั้น เราก็หวังว่าจะเกิดสายฟ้าแลบบนท้องฟ้า หรือเราโดนผลักให้ล้มลงกับพื้น เหมือนอัครสาวกเปาโล เพื่อจะได้เห็นสัญญาณที่ชัดเจน และไม่มีวันผิดพลาด ทว่าบ่อยครั้งเหลือเกิน เสียงของพระเจ้าเงียบเชียบ ถ้าเราไม่สงบจิตวิญญาณ เปิดความคิดจิตใจ และรับฟัง ก็คงพลาดไป

พระองค์กล่าวว่า “ออกไปเถิด ไปยืนอยู่บนภูเขาต่อหน้าพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์จะผ่านไป” ลมแรงพัดภูเขาพังทลาย และทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าพระเยโฮวาห์ แต่พระองค์มิได้สถิตอยู่ในลมนั้น ภายหลังลมก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระองค์หาได้สถิตอยู่ในแผ่นดินไหวนั้นไม่ ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระองค์หาได้สถิตอยู่ในไฟนั้นไม่ ภายหลังก็มีเสียงเบาๆ[8]

พระองค์จะเมตตาต่อเจ้า เมื่อพระองค์ได้ยิน พระองค์จะตอบเจ้า...เมื่อเจ้าหันไปทางขวาหรือหันไปทางซ้าย หูของเจ้าจะได้ยินเสียงข้างหลังเจ้าว่า “นี่เป็นหนทาง จงเดินไปทางนี้”[9]

เราทำส่วนของเราอย่างไร ในขั้นตอนการตัดสินใจ โดยทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อตัดสินใจอย่างถูกต้อง มีวิญญาณสงบ เพื่อรับฟังเสียงของพระเจ้า และตัดสินว่าทางเลือกใดดีที่สุดในการตัดสินใจต่างๆ ซึ่งจะเปลี่ยนแนวทางชีวิตของเราในบางแง่อย่างนั้นหรือ เมื่อหลายปีมาแล้ว เราจัดพิมพ์รายการใหม่สำหรับเจ็ดวิธีที่จะล่วงรู้ถึงความประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งผมจะรวมไว้ในที่นี้ด้วย เนื่องจากเป็นคำปรึกษาภาคปฏิบัติที่ดี ว่าจะมองหาแนวทางในการตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้าได้ที่ไหน

1) พระคำของพระเจ้าพระคำของพระเจ้า ได้แก่พระคัมภีร์ คือแห่งแรกที่จะมองหาความประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะไม่บอกให้คุณทำอะไรซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานที่พระองค์มอบไว้ในพระคำที่เป็นลายลักษณ์อักษร

2) เสียงจากพระคำข้อความในพระคัมภีร์สะดุดตาคุณ และพูดกับคุณเป็นส่วนตัว ราวกับว่าเขียนไว้สำหรับคุณโดยเฉพาะ

3) นิมิตโดยตรงพระองค์กล่าวกับคุณผ่านนิมิตโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคำพยากรณ์ ความฝัน หรือวิสัยทัศน์ ซึ่งบ่งบอกถึงความประสงค์ของพระองค์อย่างชัดเจน

4) คำปรึกษาตามแบบอย่างของพระเจ้าถึงแม้ว่าไม่มีใครค้นพบความประสงค์ของพระเจ้าแทนคุณได้ บ่อยครั้งก็มีส่วนช่วยได้ที่จะรับคำแนะนำและคำปรึกษาจากผู้อื่น ซึ่งมีศรัทธาแรงกล้า และมีประสบการณ์ในการติดตามพระองค์ “หากปราศจากการปรึกษาหารือ แผนงานก็ล้มเหลว แต่ถ้ามีผู้แนะนำหลายคน แผนงานนั้นก็จะสำเร็จ”[10]

5) หนทางเปิดปิดบางครั้งเงื่อนไขและสภาพการณ์อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงความประสงค์ของพระองค์ ดูเหมือนพระเจ้าจะชี้นำไปทางใด มีโอกาสใดบ้างเปิดทางให้ มีโอกาสใดบ้างที่ทำไม่ได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าพระเจ้าเปิดแนวทางใด และจัดหาปัจจัยให้

6) ความเชื่อมั่นในใจบางครั้งเมื่อคุณมีความรู้สึกแรงกล้า หรือความเชื่อมั่นในใจ ว่าบางสิ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง หรือเป็นสิ่งที่คุณควรทำแน่นอน นั่นก็เป็นตัวบ่งชี้ถึงความประสงค์ของพระองค์ คุณรู้แน่แก่ใจว่านั่นเป็นความประสงค์ของพระเจ้า คุณมีความเชื่อมั่นในใจว่านั่นคือสิ่งที่คุณควรทำ

7) ขนแกะ จากเรื่องราวของกิเดโอนในพระคัมภีร์ อ้างอิงถึงตอนที่คุณขอให้พระองค์ทำบางสิ่ง เพื่อแสดงให้ประจักษ์ชัดว่าอะไรคือความประสงค์ของพระองค์[11] “ถ้าพระองค์ทำเช่นนี้ ฉันจะรู้ว่านั่นคือความประสงค์ของพระองค์” เมื่อกิเดโอนต้องการทราบความประสงค์ของพระเจ้า เขาเอาขนแกะมาวางไว้บนพื้นดินข้างนอก และกล่าวว่า “พระองค์ ถ้าขนแกะเปียกน้ำค้าง ส่วนพื้นดินรอบๆ แห้งในตอนเช้า ข้าจะรู้ว่าพระองค์ชี้แนะนำทางข้า”[12]

ในกรณีส่วนใหญ่ เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตคุณ และชีวิตของคนอันเป็นที่รัก ก็มีสติปัญญาที่จะใช้วิธีการต่างๆ ค้นหาความประสงค์ของพระเจ้า เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่คุณได้รับการนำพาในสถานการณ์นั้นๆ คือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อคุณย่างก้าวแรก ด้วยการฝากลู่ทางของคุณไว้กับพระองค์ โดยให้พระองค์มีส่วนรับรอง ขอให้พระองค์ชี้แนะนำทาง และมอบสติปัญญาให้คุณ แล้วคุณใช้วิธีการบางอย่างข้างต้น คุณก็มั่นใจได้ว่าคุณอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ในการแยกแยะความประสงค์ของพระองค์ และตัดสินใจด้วยสติปัญญา

ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นขอจากพระเจ้า ผู้มอบให้แก่คนทั้งปวงอย่างเหลือล้น มิได้ทรงตำหนิ และจะมอบให้แก่ผู้นั้น”[13]

เราก็อธิษฐานเผื่อท่านตลอดมาไม่เคยหยุด ขอพระเจ้าให้ท่านเปี่ยมด้วยความรู้ถึงประสงค์ของพระองค์ ด้วยสติปัญญาและความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตสมกับที่เป็นคนของพระองค์ และเป็นที่พอพระทัยในทุกด้าน คือ เกิดผลในการดีทุกอย่าง โดยรู้จักพระเจ้าดียิ่งขึ้น[14]

เรามีบทบาทอะไรบ้างในขั้นตอนการตัดสินใจ ข้อพระคัมภีร์บอกเราในแง่หนึ่งว่า “ถ้าปราศจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”[15] ส่วนอีกแง่หนึ่งบอกว่า “ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้ โดยพระคริสต์ผู้มอบกำลังให้แก่ข้าพเจ้า”[16] ข้อพระคัมภีร์ข้อแรกบ่งบอกว่าเราไม่สามารถบรรลุผลอะไร โดยปราศจากพระเจ้า ส่วนข้อพระคัมภีร์ข้อที่สอง สัญญาว่าเราทำทุกสิ่งได้ หากเราตั้งใจทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ถ้าเราฝากเรื่องไว้กับพระคริสต์ ผมคิดว่าทั้งสองข้อนำมาปรับใช้ได้เท่าเทียมกัน ในเรื่องการตัดสินใจ เราควรฝากตัวเองและทุกแง่มุมของชีวิตเราไว้กับพระเจ้า โดยทราบว่าถ้าปราศจากความช่วยเหลือของพระองค์ เราไม่สามารถก่อเกิดผลใดที่มีค่าคงทนยั่งยืน[17] และ เราควรดำเนินการด้วยความมั่นใจ โดยทราบว่าพระองค์เสริมสร้างพละกำลังให้เราทำทุกสิ่งได้ ในแต่ละกรณี ย่างก้าวแรกคือ รักพระเจ้าสุดความคิดจิตใจและวิญญาณ

พระองค์สร้างสรรค์เราขึ้นมาในภาพลักษณ์ของพระองค์ ให้เป็นมนุษย์ที่มีเหตุผล สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ และเลือกให้พระองค์เป็นศูนย์กลางชีวิตของเรา นี่คือทางหนึ่งที่เรารักพระเจ้าสุดความคิด โดยการตัดสินใจด้วยจิตสำนึกที่จะรักพระเจ้า ให้พระองค์เป็นศูนย์กลางชีวิตและความปรารถนาของเรา โดยหาทางถวายสง่าราศีแด่พระองค์ ในการตัดสินใจทุกอย่าง ในทุกๆ ทาง เมื่อเรารักพระเจ้าเช่นนี้ โดยมีเหตุผล มีความแน่วแน่ และปวารณาตนในใจ ที่จะติดตามไปทุกหนทุกแห่งที่พระองค์นำไป เราก็พร้อมแล้วที่จะทดสอบและสังเกตเห็นความประสงค์ของพระเจ้า ดังที่ท่านเปาโลอธิบายไว้ในโรมว่า

จงเปลี่ยนจิตใจใหม่ เพื่อท่านจะได้พิสูจน์และทราบความประสงค์ของพระเจ้า ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดเป็นที่ชอบพระทัย และสิ่งใดครบถ้วนสมบูรณ์[18]

ข้อความในภาษากรีกสำหรับ “พิสูจน์และทราบ” คือคำว่า dokimazo บ่อยครั้งหมายถึงการค้นพบคุณค่าของบางสิ่ง โดยนำมาใช้หรือทดสอบในทางปฏิบัติจริงๆ[19] ข้อพระคัมภีร์นี้บ่งบอกว่าบ่อยครั้งเราอาจต้องทดสอบบางสิ่ง เพื่อจะได้ค้นพบ โดยผ่านประสบการณ์ ว่านั่นเป็นความประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ การตัดสินใจที่อยู่ข้างหน้าอาจจะไม่ชัดเจนมากพอที่จะทราบอย่างมั่นใจที่สุด ว่านั่นเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง บางทีเราอาจต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนในการเสี่ยงทำธุรกิจ หรือเริ่มพันธกิจรูปแบบใหม่ หรือส่งลูกเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง หรือย้ายไปอยู่ละแวกบ้านแห่งใหม่ เราต้องแสวงหาพระองค์เพื่อขอสติปัญญาและแนวทาง เราหยั่งดูข้อดีข้อเสีย เราวิเคราะห์สถานการณ์อย่างถี่ถ้วน เราขอคำปรึกษาจากผู้ที่สามารถมอบคำปรึกษาที่ดี แต่เราอาจพบว่าเราไม่แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ในการตัดสินใจดังกล่าว ทั้งๆ ใกล้จะถึงเส้นตายแล้ว ในบางกรณีที่เป็นเช่นนั้น คุณอาจรู้สึกว่าพระเจ้ากระตุ้นให้คุณย่างก้าวไปข้างหน้า โดยตัดสินใจขั้นต้น ขณะที่เปิดโอกาสให้มีขั้นตอนการทดสอบ การพิจารณา และสามารถเปลี่ยนแนวทาง ถ้าหากเส้นทางที่นำเสนอ ไม่มีข้อพิสูจน์ยืนยันว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ในสถานการณ์ของคุณ

บางครั้งการที่เราจะตัดสินใจ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนอื่นด้วย ในสถานการณ์เช่นนั้น การตัดสินใจขั้นต้นเป็นแค่ย่างก้าวแรก เมื่อคุณย่างก้าวไปด้วยการตัดสินใจขั้นต้น บ่อยครั้งพระองค์จะยืนยัน หรือไม่ก็จะมีองค์ประกอบใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะช่วยให้เล็งเห็นมุมมองใหม่ในสถานการณ์นั้น เมื่อมาถึงทางแยกใหม่ บนเส้นทางไปสู่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย คุณอาจต้องพิจารณาสิ่งต่างๆ ใหม่ และอธิษฐานเพิ่มเติม ก่อนที่จะย่างก้าวต่อไป คุณอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทาง เมื่อคุณค้นพบว่าการตัดสินใจขั้นแรก เมื่อประสานกันแล้ว ถึงแม้จะชี้ไปในแนวทางที่ถูกต้องโดยทั่วไป ก็ต้องมีการปรับให้ชัดเจน เมื่อคุณมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้าย บ่อยครั้งการตัดสินใจเป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจหลายๆ ครั้ง ไม่ใช่การตัดสินใจแค่ครั้งเดียว และการตัดสินใจแต่ละครั้งจะปูพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจครั้งต่อไป

พวกเราส่วนใหญ่อยากได้รับแนวทางที่ชัดเจนจากพระเจ้ามากกว่า แต่ดูเหมือนว่าบ่อยครั้งพระองค์ต้องการให้เราทำหน้าที่แสวงหาความประสงค์ของพระองค์สุดหัวใจ โดยการตรวจสอบ วิเคราะห์ ประเมินผล และใช้ทุกลู่ทางที่มีอยู่ เพื่อตัดสินใจด้วยสติปัญญาตามแบบอย่างของพระเจ้า ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นบ่อยครั้งว่าเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนพระเจ้าไม่ค่อยทำอะไรให้เรา ซึ่งเราสามารถทำได้ บ่อยครั้งผมพบว่าผมตัดสินใจได้ดีที่สุด เมื่อผมทำงานควบคู่กับพระองค์ ผ่านการทำงานเบื้องหลังฉาก ในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และทางเลือกต่างๆ โดยหยั่งดูข้อดีข้อเสียของแต่ละอย่าง ขณะที่แสวงหาแนวทางและความคิดของพระองค์ในเรื่องนั้น ผ่านการอธิษฐานและรับฟังจากพระองค์

การตัดสินใจที่ถวายเกียรติและสง่าราศีแด่พระเจ้า คือทางหนึ่งที่เราแสดงให้เห็นว่าเรารักพระองค์สุดความคิดจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเราส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนกับความรับผิดชอบที่สำคัญ ในการตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า นี่ก็เป็นโอกาสที่จะถวายสง่าราศีแด่พระเจ้า ผ่านทางเลือกของเรา เมื่อเราถือว่าพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต และให้พระองค์มีส่วนรับรองในทุกลู่ทาง โดยการฝากชีวิตและเวลาของเราไว้ในมือพระองค์ เราก็ไว้วางใจได้ว่าพระองค์จะนำทางเรา และช่วยเราให้สังเกตเห็นความประสงค์ของพระองค์ และตัดสินใจด้วยสติปัญญา

“การตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า” ตอนที่ 2 จะกล่าวถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราตัดสินใจ เมื่อพระเจ้าไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด


[1] โคโลสี 2:13-14

[2] 1 เปโตร 5:7

[3] ยอห์น 14:23

[4] อิสยาห์ 1:18

[5] ยอห์น 16:13

[6] สุภาษิต 3:5-6

[7] เพลงสดุดี 37:5

[8] 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11-12

[9] อิสยาห์ 30:19, 21

[10] สุภาษิต 15:22

[11] ผู้วินิจฉัย 6:36–40

[12] ปรับเปลี่ยนจากเรื่อง “เจ็ดวิธีที่จะรู้ถึงความประสงค์ของพระเจ้า” โดย เดวิด บรานท์ เบิร์ก

[13] ยากอบ 1:5

[14] โคโลสี 1:9-10

[15] ยอห์น 15:5

[16] ฟิลิปปี 4:13

[17] ในหมายเหตุ พระคัมภีร์ฉบับอีเอสวี ยอห์น 15:5 ระบุว่า: นี่ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มีอะไรเลย” สำหรับผู้ไม่มีความเชื่อแน่นอน ซึ่งประกอบกิจกรรมตามปกติในชีวิตที่แยกจากพระคริตส์ ทว่าหมายถึง “ไม่มีค่านิยมใดที่คงทนยั่งยืน” หรือไม่สามารถก่อเกิดผลทางวิญญาณ

[18] โรม 12:2

[19] หมายเหตุจากพระคัมภีร์ฉบับอีเอสวี

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้