ค่านิยมหลักของ TFI: การเป็นสาวก

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

ตุลาคม 1, 2013

พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดจะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา”[1]

ถ้าเจ้ารักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นสาวกของเรา[2]

ผู้ช่วยเราให้รอด และได้เรียกเราด้วยคำเรียกอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ผลงานของเรา แต่เพราะเห็นแก่จุดประสงค์ของพระองค์เอง และความปรานีที่มอบให้แก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก[3]

พระเยซูจึงกล่าวกับพวกยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า ถ้าท่านดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงนั้นจะทำให้ท่านเป็นอิสระ[4]

พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านให้ถวายตนแด่พระองค์ เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต บริสุทธิ์ และเป็นที่พอใจพระเจ้า ซึ่งเป็นการปรนนิบัติอันสมควรของท่าน อย่าประพฤติตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบความประสงค์ของพระเจ้า ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรยอดเยี่ยม[5]

ค่านิยมหลักประการที่สามของเดอะแฟมิลี่นานาชาติ ได้แก่

การเป็นสาวก เราส่งเสริมรายบุคคลให้ติดตามพระเยซู สุดแล้วแต่ว่าพระองค์มอบหมายให้เขาทำอะไรเป็นส่วนตัว และแสดงถึงการปวารณาตนต่อความประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้สำหรับชีวิตของเขา

สาวกมีคำนิยามว่า “ผู้ติดตามพระเยซู” “ผู้เรียนรู้” “ผู้เจริญรอยตามเจ้านาย” “ผู้ยึดมั่น” “ผู้มุ่งหมายที่จะเป็นเหมือนพระเยซู”

คำว่า “สาวก” หมายถึง “ผู้เรียนรู้” ในภาษากรีก สาวกแสวงหาที่จะเรียนรู้ ศึกษา ติดตาม และนำสิ่งที่ครูอาจารย์สอนมาปฏิบัติ เราเป็นสาวกของพระเยซู ผู้เป็นนายของเรา เราแสวงหาที่จะไม่เพียงเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ในโลก ความจริงจากพระคำของพระเจ้า วิสัยและคุณลักษณะของพระองค์เท่านั้น แต่เราแสวงหาที่จะทำตามแบบอย่างของพระองค์ และดำเนินชีวิตตามที่พระองค์สอน มอบความรักตามที่พระองค์สอน และดำเนินชีวิตด้วยความศรัทธา สาวกคือผู้ที่เป็นเหมือนพระเยซู และได้รับการชี้นำจากพระเยซู

สาวกเป็นยิ่งกว่าการยอมรับคำสอนและเชื่อตามนั้น ทว่าเป็นทางเลือกครั้งสำคัญอย่างยิ่ง ในการปฏิบัติตามและประกาศคำสอนอย่างแข็งขัน สาวกลงมือดำเนินการตามความเชื่อ สาวกคือ “ผู้ทำตามพระคำ ไม่ใช่แค่ฟัง”[6] สาวกนำคำสอนมาปรับใช้ในชีวิตอย่างแข็งขัน ช่วยเหลือในบางแง่และบางวิธี เพื่อกระจายข่าวประเสริฐเรื่องความรอด เป็นข่าวสารเกี่ยวกับพระเยซู นั่นคือสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีใจรักต่อพระเจ้าทำ นั่นคือสิ่งที่ผู้ซึ่งมุ่งมั่นจะติดตามพระวิญญาณของพระเจ้าทำ

การเป็นสาวกแปลตรงตัวว่า การปวารณาตนที่จะวางแผนชีวิต ทัศนคติ และดำเนินการ ตามคำสอนและแบบอย่างของพระเยซู สรุปได้ว่า การเป็นเหมือนพระองค์ นั่นคือเป้าหมายที่สูงส่ง เนื่องจากพระเยซูดำเนินชีวิตเต็มรูปแบบ ด้วยความรัก ความเมตตากรุณา การเสียสละ ความจริง และความซื่อสัตย์ ในบรรดาชายหญิงที่เคยดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้

งานมอบหมายอย่างหนึ่งของพระเยซูที่เปลี่ยนชีวิตมากที่สุด มีเพียงสามคำ “ตามเรามา” เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้น พระองค์มุ่งหมายให้เราตามพระองค์ไปจริงๆ โดยการปลุกปั้นชีวิต ความนึกคิด นิสัย และการกระทำของเรา ตามพระองค์ ในฐานะมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ เราไม่สามารถทะยานไปรับความท้าทายนี้ได้ แต่เมื่อเรายอมจำนนต่อพระเจ้า และรับพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะ “เป็นตามลักษณะของพระคริสต์”[7]

ลองฟังดูว่า ลี แคมพ์ เขียนถึงการติดตามพระเยซูไว้ว่าอย่างไร “พระเยซูแห่งนาซาเร็ธ ขอให้สาวกติดตามพระองค์เสมอ ไม่ใช่แค่ ‘ยอมรับ’ พระองค์ ไม่ใช่แค่ ‘เชื่อในพระองค์’ และ ‘นมัสการพระองค์’ เท่านั้น ทว่าติดตามพระองค์ เราติดตามพระคริสต์ หรือไม่ได้ติดตาม ไม่มีความศรัทธาแบบใด ไม่มีขอบเขต ไม่มีแวดวง ไม่มีธุรกิจ ไม่มีการเมือง ซึ่งจะตัดขาดองค์พระคริสต์ออกไปได้ เรารับพระองค์ไว้เป็นเจ้าเหนือหัว หรือไม่ก็ปฏิเสธ ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า[8]

ความเป็นสาวกบ่งบอกถึงสื่อสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างพระเยซูกับผู้ติดตาม พระองค์บอกกล่าว นำทาง และสั่งสอน เรารับฟัง ติดตาม และรับผลประโยชน์ ศูนย์กลางของการเป็นสาวกคือความรักที่มีต่อพระเยซู และการสื่อสัมพันธ์กับพระองค์ นี่เองเราถึงต้องมีใจรักต่อพระเจ้า และขึ้นอยู่กับศรัทธาในพระคำของพระองค์ด้วย ต้องอาศัยการอุทิศตนและการปวารณาตัว ต้องเปิดใจรับ และเชื่อฟังสำนึกจากพระวิญญาณ นี่เองเราจึงมุ่งมั่นที่จะติดตามพระวิญญาณของพระเจ้า

การเป็นสาวกของพระเยซูคือความท้าทาย มีเดิมพันสูง พระเยซูบ่งบอกไว้ชัดเจนว่าการติดตามพระองค์เป็นการเสียสละ การละสิ่งต่างๆ การถือว่าความประสงค์ของพระองค์มาก่อน การรักผู้อื่นด้วยความรักของพระองค์ และการแบ่งปันคำสอนของพระองค์กับผู้อื่น แม้กระทั่งเต็มใจ “สละชีวิตของเราเพื่อเห็นแก่พระองค์”[9]

การเป็นสาวกไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต ทว่าเป็นการเดินทางในวิญญาณ เป็นการเดินทางด้วยศรัทธา ซึ่งเกี่ยวกับทางเลือกและสิ่งที่เราทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อแนบสนิทอยู่ในพระเยซู และให้พระองค์แนบสนิทอยู่ในเรา โดยได้รับการนำพา หล่อเลี้ยง และชำระล้างด้วยพระคำของพระองค์ โดยดำเนินการภายใต้แรงชักจูงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และความรักของพระเจ้า โดยแสวงหาพระองค์ ยินยอมอ่อนน้อมต่อความประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตเรา เชื่อฟังพระองค์สุดความสามารถ เป็นพยานถึงความรักของพระองค์ผ่านถ้อยคำและการกระทำ ด้วยการก่อเกิดผลซึ่งถวายสง่าราศีแด่พระองค์

แนวคิดเรื่องการเป็นสาวก คือ เราปวารณาตนที่จะรับแอกของพระคริสต์ไว้ การรับแอกการเป็นสาวกหมายถึง เรายอมจำนนต่อพระองค์ เราผนึกอยู่กับพระองค์ และถวายตัวให้พระองค์ชี้นำ เราไว้วางใจแนวทางของพระองค์ เราเชื่อฟังคำบัญชาของพระองค์ เราทำงานเคียงข้างพระเยซู ในทุกแง่มุมของชีวิต

ต่อไปนี้เป็นภาพประกอบที่ดีว่าเป็นเช่นไร เมื่อเรารับแอกการเป็นสาวกแบกไว้

มีชาวนาผู้ชรา ไถนาด้วยทีมวัวตัวผู้ ขณะที่ผมเห็นทีมนี้ ผมค่อนข้างทึ่งใจ เพราะตัวหนึ่งเป็นวัวตัวผู้ตัวใหญ่ อีกตัวหนึ่งเป็นวัวหนุ่มตัวเล็ก วัวตัวผู้สูงกว่าวัวหนุ่มตัวเล็กที่ทำงานร่วมกับมัน

ผมทึ่งใจและงุนงงที่เห็นชาวนาพยายามไถนาด้วยสัตว์สองตัวขนาดไม่เท่ากันเทียมแอก จึงออกความเห็นต่อชายผู้นั้นว่าวัวไม่เท่าเทียมกัน เขาขับคันไถอยู่ เขาหยุด และกล่าวว่า ‘ผมอยากให้คุณสังเกตอะไรบางอย่าง ดูสายที่ต่อกับแอกสิ คุณจะสังเกตว่าวัวตัวใหญ่ถึงน้ำหนักทั้งหมด ส่วนวัวตัวเล็กกำลังหัดเทียมแอก แต่มันไม่ได้ดึงน้ำหนักหรอก’

ผมนึกถึงข้อความในพระคัมภีร์ ด้วยสัญชาติญาณ ซึ่งพระองค์กล่าวว่า “รับแอกของเราแบกไว้ เรียนจากเรา...” ในการเทียมแอกโดยทั่วไป น้ำหนักที่บรรทุกแบ่งเท่ากันระหว่างสัตว์สองตัวที่เทียมแอกด้วยกัน ทว่าเมื่อเราเทียมแอกกับพระเยซูคริสต์ พระองค์แบกรับน้ำหนัก ส่วนเราที่ร่วมเทียมแอกกับพระองค์ ร่วมชื่นชมความยินดีและผลสำเร็จจากแรงงาน ทว่าไม่ได้แบกน้ำหนักจากแอก[10]

การตอบรับงานมอบหมายให้เป็นสาวก คือ ทางเลือกส่วนตัว การปวารณาตนส่วนตัว การเป็นสาวกคือการเดินทาง เราแต่ละคนอยู่ในการเดินทางระยะที่แตกต่างกัน อยู่ในจุดแตกต่างกัน บนเส้นทางการเป็นสาวก ทว่าเราทุกคนที่ติดตามพระเยซู ในทางใดก็ตามที่ได้รับมอบหมายให้รับใช้ คือสาวกของพระองค์

สิ่งที่พระเยซูขอจากผู้ติดตามของพระองค์ วิสัยทัศน์ที่พระองค์มอบให้เขา งานมอบหมายที่เฉพาะเจาะจง เหมาะสำหรับสาวกรายบุคคล ไม่ว่าพระองค์จะมอบสำนึกใดไว้ในใจคุณ พระองค์มอบหมายให้คุณนำพระคำไปปรับใช้เช่นไร ของกำนัลจากการเป็นสาวกนั้นล้ำค่า การที่คุณเป็นสาวกมีค่าต่อพระองค์ และมีค่าต่อ TFI

เมื่อพระเยซูเรียกสาวกสิบสองคน พระองค์มอบหมายให้เขาละทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง และอุทิศชีวิต เพื่อติดตามพระองค์ ขณะที่สาวกรุ่นแรกเป็นพยาน เหล่าผู้มีความเชื่อขยายตัว และประกอบด้วยผู้คนจากทุกแวดวงชีวิต ทุกคนล้วนเป็นสาวก ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามพระเยซูในทางเดียวกัน หลายคนได้รับมอบหมายให้ประกอบอาชีพการงานต่อไป โดยใช้การงานเพื่อถวายสง่าราศีแด่พระองค์ เพื่อเข้าถึงผู้คนจากทุกแวดวง รวมไปถึงใจกลางจักรวรรดิโรม ที่ดูเหมือนราวกับบุกทะลวงไม่ได้

บางคนได้รับมอบหมายให้ “ละอวนตามพระองค์ไปทันที” หรือ “ขายสิ่งของที่มีอยู่ แจกจ่ายให้คนอนาถา”[11] พระองค์มอบหมายให้บางคนเป็นมิชชันนารีในต่างแดน บางคนเป็นมิชชันนารีในชุมชนหรือประเทศบ้านเกิดเมืองนอน บางคนเป็น “มิชชันนารีโน้ตบุ๊ค” ผ่านงานการเป็นพยานออนไลน์ ชีวิตของสาวกผู้สละชีวิตและอาชีพการงานเพื่อติดตามพระองค์ คือแบบอย่างในพระคัมภีร์ ทว่าเอ่ยถึงผู้ติดตามคนอื่นๆ ของพระเยซูด้วย ผู้ซึ่งมีตำแหน่งหรือความมั่งคั่ง และเป็นสาวกเช่นกัน เขาทำส่วนของเขาเพื่อรับใช้พระองค์ และช่วยแพร่พระกิตติคุณออกไป

คุณอาจได้รับมอบหมายให้ทำงานมิชชันนารีเต็มเวลา ไม่ว่าจะเป็นประเทศบ้านเกิด หรือต้องข้ามน้ำข้ามทะเล บางทีพรสวรรค์หรือทางเลือกของคุณ เอื้อต่องานมิชชันเต็มเวลาที่แข็งขันมากกว่า ทว่าเราแต่ละคนยังคงมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเยซู และเป็นสาวก เราแต่ละคนเป็นพยาน และช่วยเหลืองานมิชชันในบางแง่ได้

ข้อความที่หยิบยกมาจาก เดอะกอสเปลเฮรัลด์ ต่อไปนี้ ชวนให้ขบคิด

“งานมอบหมายให้รับใช้พระเจ้านั้นชัดเจน แน่นอน เป็นรายบุคคล และมีอำนาจหน้าที่ ซึ่งช่วยให้อุ่นใจว่าท่านผู้มอบหมายทรงพลัง รอบรู้ทุกอย่าง และพอเพียง จะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อและไม่เปลี่ยนแปลง นี่ให้ความอุ่นใจว่าเป็นไปได้ที่จะตอบรับ ซึ่งขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังของผู้ที่ได้รับมอบหมาย ... ใครจะประมาณได้ว่ามนุษย์รับพรสักแค่ไหน เพราะยอมเชื่อฟังงานมอบหมายของพระคริสต์ โดยเปโตร ยากอบ ยอห์น เปาโล ลูเธอร์ ลิฟวิ่งสโตน คาเรย์ ฮัดสัน เทเลอร์ มูดี้ และคนอื่นๆ อีกมากมาย ใครจะประมาณได้ว่าเกิดความหายนะสักแค่ไหน ถ้าหากทุกคนที่กล่าวมานี้ไม่ได้เชื่อฟัง”

พระเจ้าต้องการทุกสิ่ง ทั้งชีวิตจิตใจ อาชีพการงาน และสิ่งที่มุ่งหวังเป็นส่วนตัว เพื่อถวายสง่าราศีแด่พระองค์ เพื่อยกชูพระเยซู ด้วยการรับใช้ ดุจแสงส่องสว่างบนเนินเขา เพื่อบอกทางให้กับผู้อื่น ไม่ว่าคุณมีอาชีพการงานอะไรก็ตาม

การค้นพบว่าพระเจ้าต้องการให้คุณดำเนินชีวิตเป็นสาวกอย่างไร พระองค์ต้องการให้คุณเป็นแสงสว่างต่อชาวโลกและเป็นเกลือต่อแผ่นดินอย่างไร ตามที่พระองค์มอบหมาย คือส่วนหนึ่งในการเดินทางด้านวิญญาณเป็นส่วนตัว[12] คุณมีเอกลักษณ์รายบุคคลที่ไม่มีใครเหมือน และพระเจ้ามีแผนการไว้ให้คุณ ซึ่งไม่เหมือนใคร สำหรับคุณ สภาพการณ์ของคุณ พรสวรรค์และความสามารถของคุณโดยเฉพาะ สิ่งที่พระองค์ขอ คือ คุณถวายสิ่งเหล่านี้ต่อพระองค์ โดยใช้เพื่อถวายสง่าราศีแด่พระองค์ เพื่อให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคำตอบต่อคำอธิษฐานของพระองค์ ที่ว่า “ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาถึง” ด้วยการทำสิ่งที่พระองค์ขอให้คุณทำ เพื่อติดตามพระองค์ และเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังที่จะเปลี่ยนโลก ซึ่งพระองค์มอบหมายไว้ให้ผู้ติดตามของพระองค์

สายใยชีวิตโดยทั่วไปของสาวกคริสเตียนทุกคน คือ 1) ความรักที่มีต่อพระเยซู และ 2) การเชื่อฟังงานที่พระองค์มอบหมายไว้ให้เขาโดยเฉพาะ

ในฐานะคริสเตียนและสาวก องค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการติดตามและดำเนินชีวิตเยี่ยงเจ้านายของเรา คือ การมอบพระกิตติคุณแก่ผู้อื่น เราควรจะเป็นทั้ง “เกลือต่อแผ่นดิน” และ “แสงสว่างต่อชาวโลก” เราทำเช่นนั้นผ่านการเป็นพยาน ซึ่งบ่อยครั้งคนอื่นเล็งเห็นได้ ขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวัน คนอื่นสังเกตเห็นความรักและความกรุณาที่เรามอบให้ การที่เราติดต่อกับคนแปลกหน้า เราเป็นเพื่อนบ้านประเภทใด เรามีส่วนร่วมในชุมชนท้องถิ่นอย่างไร เราเป็นผู้ปกครองต่อบุตรหลานและดูแลเอาใจใส่ครอบครัวของเราอย่างไร เราให้ความช่วยเหลือและกำลังใจต่อผู้ที่ขัดสนอย่างไร การกระทำของเราจะบ่งบอกอย่างชัดเจน เหนือสิ่งอื่นใด นี่จะช่วยปูทางให้เราเป็นพยานด้วยถ้อยคำ เมื่อเราพูดกับผู้อื่นถึงพระเยซูและความรอด

เราคือสื่อที่พระเยซูใช้ เพื่อให้ผู้คนได้เห็นแสงสว่างของพระองค์ ผู้คนจะรู้จักพระเจ้าผ่านเรา

บิลลี่ เกรแฮม กล่าวว่า “การเชิญชวนให้เป็นสาวก คือ วัตถุประสงค์น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เราคาดคิดได้ ลองนึกดูสิว่า พระเจ้าแห่งจักรวาลเชื้อเชิญให้เราเป็นหุ้นส่วน ในการอ้างสิทธิ์โลกนี้กลับคืนมาเพื่อพระองค์! เราแต่ละคนมีส่วนในการใช้พรสวรรค์ที่ไม่เหมือนใคร และโอกาสที่พระเจ้ามอบให้เรา”

ช่างเป็นสิทธิพิเศษที่ได้เป็นหุ้นส่วนกับพระเจ้า ในการอ้างสิทธิ์โลกนี้คืนมาเพื่อพระองค์ ในพระกิตติคุณยอห์น พระเยซูกล่าวกับสาวกว่า “พระบิดาของเราใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านไปฉันนั้น”[13]

พระเยซูส่งสาวกไป พร้อมด้วยงานมอบหมายเดียวกันกับที่พระองค์ได้รับจากพระบิดา นี่บ่งบอกไว้อย่างน่าซาบซึ้งใจในอิสยาห์ 61:1-3 ซึ่งพระเยซูเอ่ยอ้าง ตอนที่สอนในธรรมศาลา ที่บ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์

พระวิญญาณพระเจ้าผู้สถิตอยู่กับข้าพเจ้า
เพราะพระเยโฮวาห์เจิมข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวประเสริฐต่อผู้ที่ถ่อมใจ
พระองค์ใช้ให้ข้าพเจ้าเยียวยาคนที่ชอกช้ำใจ
ให้ประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย
ประกาศการเปิดเรือนจำแก่ผู้ที่ถูกจองจำ
เพื่อประกาศปีที่พระองค์โปรดปราน
และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้า
เพื่อปลอบโยนผู้ที่ไว้ทุกข์
เพื่อปลอบขวัญผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน
เพื่อมอบความสวยงามแทนเถ้าถ่าน
น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์
ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย
เพื่อเขาจะได้ชื่อว่าต้นไม้แห่งความชอบธรรม
ที่พระเยโฮวาห์ปลูกไว้ เพื่อพระองค์จะได้รับสง่าราศี[14]

นั่นคืองานมอบหมายของเราเช่นกัน เราผู้ซึ่งเจริญรอยตามพระเยซู จะป่าวประกาศข่าวดีแก่คนยากจน และบอกให้เชลยรับรู้ว่าอิสรภาพมาถึงแล้ว! เราจะสมานหัวใจที่ชอกช้ำ และปลอบโยนผู้ที่ทุกข์โศก งานมอบหมายของพระองค์กลายเป็นงานมอบหมายของเรา นี่ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติการอีกครั้ง

ชาร์ลส์ สวินดอลล์ อธิบายไว้ดังนี้ “แผนการ [ของพระเยซู] ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติการ และพระองค์บ่งบอกไว้เช่นไร ก็ทำนายถึงความสำเร็จ พระองค์ไม่ได้กล่าวว่า ‘เจ้าอาจเป็นพยานของเรา’ หรือ ‘เจ้าน่าจะเป็นพยานของเรา’ หรือแม้แต่ ‘เจ้าควรเป็นพยานของเรา’ พระองค์กล่าวว่า ‘เจ้าจะเป็นพยานของเรา’”

ดังนั้นการเป็นสาวกหมายความเช่นไร ในสภาพแวดล้อมของโลกปัจจุบัน สาวกคือผู้ที่ติดตามพระเจ้าด้วยใจหนักแน่น และทำตามความประสงค์ของพระองค์ ดังที่บ่งบอกไว้ในพระคัมภีร์ และแสวงหาความประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงของพระองค์ สำหรับชีวิตเขา สำหรับอาชีพการงาน ครอบครัว และสิ่งที่เขาแสวงหาเป็นส่วนตัว นี่หมายถึงการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์

ด้วยความปรานีของพระเจ้า เราจะผนึกพลังด้วยสายใยการอุทิศตนเช่นเดียวกัน เพื่อรับใช้พระองค์ เพื่อประกาศพระกิตติคุณ และพิสูจน์ให้เห็นว่าสาวกยุคใหม่ของพระเยซู ผู้ซึ่งมีใจรักต่อพระเจ้า ผู้ซึ่งมุ่งมั่นที่จะติดตามพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักเพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ยังคงมีอยู่ในโลกปัจจุบัน


[1] ลูกา 9:23

[2] ยอห์น 13:35

[3] 2 ทิโมธี 1:9

[4] ยอห์น 8:31-32

[5] โรม 12:1-2

[6] ยากอบ 1:22

[7] โรม 8:29

[8] หนังสือ Mere Discipleship: Radical Christianity in a Rebellious World (สำนักพิมพ์บราซอสเพรส ค.ศ. 2003) หน้า 27

[9] มัทธิว 16:24-25

[10] เจ ดไวท์ เพนเทคอส เรื่อง Design for Discipleship: Discovering God's Blueprint for the Christian Life (แกรนด์ราพิดส์: สำนักพิมพ์เครเกลพับลิเคชั่น ค.ศ. 1996) หน้า 23–24

[11] มัทธิว 4:20; มาระโก 10:21

[12] มัทธิว 5:13-15

[13] ยอห์น 20:21

[14] พระคัมภีร์

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้