รู้สึกไม่มั่นคงหรือ

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

พฤศจิกายน 17, 2015

เมื่อวันก่อนผมอ่านบทความหนึ่ง กล่าวว่าข้อความที่นิยมชมชอบกันมากที่สุดในพระคัมภีร์ คือ ฟิลิปปี 4:6-7 ในข้อพระคัมภีร์ดังกล่าว อัครสาวกเปาโลแนะนำเหล่าผู้มีความเชื่อว่า

อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่ในทุกสถานการณ์ จงทูลขอต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเหนือล้ำความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์[1]

การที่จะมีอิสระจากความกลัดกลุ้ม ความวิตกกังวล ความเครียด และความกดดัน คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เรามีชีวิตอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และการเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความไม่แน่นอน โดยทั่วไปแล้ว ความไม่แน่นอนมักจะนำมาซึ่งความวิตกกังวล ความเครียด และความรู้สึกไม่มั่นคง เพื่อนของผมคนหนึ่งบ่งบอกไว้เช่นนี้ ว่า “เมื่อฉันรู้สึกไม่มั่นคง ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่ามีอะไรผิดไป หรือฉันพลาดบางสิ่งที่สำคัญ บ่อยครั้งเป็นเพราะสิ่งที่ไม่ล่วงรู้ และภาวะเสี่ยง อันนำมาซึ่งความรู้สึกไม่มั่นคงที่ประดังเข้ามาจนทำอะไรไม่ถูก”

ผมประสบกับความรู้สึกเช่นนี้ในบางครั้ง และก็ไม่น่าพึงประสงค์ บางครั้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ไม่มั่นคง หรือรู้สึกไม่สบายใจ แต่จับจุดไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร บางครั้งคุณรู้ดี หรือมีเค้าเงื่อนว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น โดยที่เกี่ยวโยงกับสภาพการณ์หรือการตัดสินใจเรื่องใด อาจเป็นได้ว่าคุณลำบากใจกับการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ บางทีคุณอาจทะเลาะเบาะแว้ง และต้องแก้ไขความสัมพันธ์กับใครสักคน บางทีถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นงานอาชีพ ถิ่นที่อยู่ การเป็นผู้ปกครอง ลำดับความสำคัญ หรือภายในแวดวงเพื่อนฝูง ถึงแม้คุณรู้ว่าต้องทำการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีค่าแลกเปลี่ยนเป็นส่วนตัวที่คุณจะเปลี่ยนแปลง คุณจึงรู้สึกลังเลใจหรือหวาดหวั่น ยังผลให้คุณหลีกเลี่ยงที่จะก้าวออกไป หรือทำอะไรที่คุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำ บางทีคุณกำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิต และคุณรู้สึกไม่มั่นคง เพราะคุณไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นลงเอยอย่างไร

การรู้สึกไม่มั่นคง ไม่สบายใจ และกลัดกลุ้ม มักจะทำให้หมดความยินดีและศรัทธา ความรู้สึกหวาดหวั่น หรือ“ไม่ล่วงรู้”เช่นนั้น อาจครอบงำทรรศนะของคุณ หรือความหวังสำหรับอนาคต ซึ่งหยุดยั้งคุณจากการติดตามพระองค์ และทำความคืบหน้าอย่างแน่วแน่ในชีวิต ความรู้สึกกระวนกระวายเพราะมีเรื่องต้องสะสางมากมาย ต้องตัดสินใจในเรื่องที่คั่งค้าง สิ่งที่คุณอาจหลงลืม หรือยังทำไม่ได้ อาจเป็นเหตุให้คุณรู้สึกเครียด หวาดหวั่น ไขว้เขว และอ่อนเพลียระเหี่ยใจ

มิน่าเล่าผู้คนถึงพยายามทำอะไรต่างๆ นานา เพื่อฟื้นฟูความรู้สึกที่ประกอบด้วยสันติสุข ความหวัง และมีศูนย์รวม ในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราได้รับพรด้วยคำสัญญาที่แสนวิเศษมากมายในหัวข้อนี้ ซึ่งให้คำปรึกษาทั้งทางจิตใจและทางปฏิบัติ ผมขอรวมพระคัมภีร์ข้อโปรดบางส่วนไว้ในที่นี้ ตามด้วยคำแนะนำทั่วไปบางอย่าง เรื่องการทะยานขึ้นไปเหนือความรู้สึก “ไม่มั่นคง” ที่เกิดขึ้น

ฝากภาระของท่านไว้กับพระองค์ พระองค์จะค้ำจุนท่าน พระองค์จะไม่ปล่อยให้คนชอบธรรมหวั่นไหว[2]

ฝากความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ห่วงใยท่าน[3]

จิตใจที่แน่วแน่นั้นพระองค์จะปกป้องไว้ในสันติสุขอันสมบูรณ์ เพราะเขาไว้วางใจในพระองค์[4]

เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน และอย่ากลัวเลย[5]

มีสาระสำคัญบางอย่างที่เหมือนกันในข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นโดยตลอด

การรู้จัก “ฝากความกังวลทั้งสิ้นไว้กับพระองค์” และ “ไม่กลัดกลุ้มถึงเรื่องใด” ผมต้องยอมรับว่าพูดง่ายกว่านำมาปฏิบัติ และการเรียนรู้ที่จะไม่กลัดกลุ้ม อาจเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยย่างก้าวเชิงปฏิบัติในส่วนของเรา เราต้องตั้งใจพยายามที่จะฝากภาระไว้กับพระองค์ เราต้องมุ่งมั่นที่จะใช้เวลากับพระเยซูเป็นประจำ เราต้องรู้จักฝากความกลัวและความวิตกกังวลไว้กับพระองค์ เราต้องทำสมาธิกับพระคำของพระเจ้า และฝึกฝนศิลปะการมุ่งเน้นความคิดในสิ่งที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ มีคุณธรรม ดีงาม แท้จริง น่าเชื่อถือ และถูกต้อง[6] เราต้องแทนที่นิสัยไม่ดีด้วยนิสัยที่ดี ซึ่งนำเราไปสู่วิถีชีวิตที่ผาสุก

บางคนทึกทักว่าเมื่อคุณกลายเป็นคริสเตียน และไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ก็จะปกป้องคุณจากสิ่งเลวร้ายใดๆ ทั้งสิ้นโดยอัตโนมัติ แต่การไว้วางใจไม่ได้เป็นเช่นนั้น การไว้วางใจไม่ได้ขจัดปัญหา ความเครียด หรือความยากลำบากที่อาจเกิดขึ้นให้หมดไป ทว่าการไว้วางใจมอบพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับความเชื่อมั่นของเรา พื้นฐานคือ พระเจ้านั่นเอง การไว้วางใจมอบทางออกให้กับความกลัดกลุ้มของเรา ทางออกคือ พระเจ้านั่นเอง

ผมพบว่ามีส่วนช่วยได้ที่จะทบทวนคำสัญญาของพระเจ้า เพื่อเตือนใจตนเองถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งพระเจ้ามีต่อผม พระองค์รักผม พระองค์รักคุณ พระองค์ห่วงใย พระองค์ต้องการช่วยเรา พระองค์สัญญาว่าจะดูแลเรา เมื่อเราฝากตัวเองและคนอันเป็นที่รักไว้ในหัตถ์ของพระองค์ เราก็ทราบได้ว่าเขาอยู่ในที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ออกัสตินกล่าวว่า “พระองค์สร้างเราขึ้นมาเพื่อพระองค์เอง ข้าแต่พระองค์ หัวใจเราไม่สงบนิ่ง จนกว่าจะค้นพบการพักพิงในพระองค์”[7] ผมเชื่อว่าการให้จิตวิญญาณของเราสอดคล้องกับพระวิญญาณของพระเจ้า คือแง่มุมที่สำคัญที่สุด เมื่อเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสันติสุข ความหวัง ศรัทธา และความไว้วางใจ มีคำแนะนำทางปฏิบัติบางอย่างสำหรับเรื่องดังกล่าว ผมขอระบุไว้ดังต่อไปนี้

จดความกังวลและความกลัดกลุ้มของคุณไว้

นี่มีส่วนช่วยได้เป็นพิเศษ ถ้าคุณมีเรื่องในหัวคิดมากมาย ก็ระบายออกมาและจดใส่กระดาษ เพียงการจดบันทึกไว้ให้หมดก็จะช่วยให้โล่งอกได้บางส่วน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเขียนถึงความวิตกกังวลจะช่วยให้คุณสงบจิตสงบใจ และถึงกับเพิ่มพูนผลงาน กล่าวได้ว่า การกำหนด “ช่วงเวลาสำหรับความกังวล” อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์ จดความกังวลของคุณไว้ และมอบให้พระเยซู

เมื่อคุณเขียนถึงทุกเรื่องที่คุณหนักใจ ก็จะกลายเป็นรายการสำหรับอธิษฐานและวางแผน อธิษฐานให้กับรายการนี้เป็นประจำทุกวัน หาคำสัญญามาเอ่ยอ้างสำหรับแต่ละรายการหรือโดยรวม

ดูในรายการว่ามีเรื่องเล็กๆ ใดบ้างที่คุณจัดการดูแลได้ บางทีคุณต้องโทรศัพท์ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร ถ้าคุณจัดการสองสามเรื่องได้ ถึงแม้จะเป็นประเด็นที่เล็ก รายการก็จะลดลงไป และช่วยให้คุณรู้สึกว่าทำความคืบหน้า

พูดคุยกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท คู่ครอง ที่ปรึกษา พี่เลี้ยง

มีส่วนช่วยได้ที่จะพูดคุยถึงสถานการณ์ของคุณ ทางเลือกต่างๆ และขอคำแนะนำที่ดี

ระวังว่าจะ “เลือกไม่ถูก”

ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีทางเลือกมากเหลือเกินในยุคใหม่นี้ นับตั้งแต่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเรื่องอาหารหลากหลายในร้านค้า เมื่อมีข้อมูลมากมายอาจทำให้ตัดสินใจไม่ถูก โดยไม่ต้องเอ่ยถึงเวลาที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

ขอให้ใส่ใจและมีวินัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเสาะหาข้อมูลที่จำเป็นเพื่อทำการตัดสินใจ โดยไม่มัวหมกมุ่นกับข้อมูลใหม่และทางเลือกต่างๆ ที่เข้ามาไม่หยุด

ไปทีละก้าว

ถ้าคุณเผชิญหน้ากับปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข อย่าจัดการทั้งหมดทีเดียว ขอให้เลือกข้อหนึ่งเพื่อนึกคิดและอธิษฐานจนผ่านพ้นไปได้ ออกไปเดินเล่น ขณะที่พิจารณาดูข้อดีและข้อเสีย โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการตัดสินใจ

ตัดสินใจ ลงมือทำ ไว้วางใจ ทำต่อไป

เมื่อคุณตัดสินใจ โดยหมั่นอธิษฐาน อย่ามัวค้นหาเพื่อเปรียบเทียบหรือคาดเดาทางเลือกของคุณ แต่ไว้วางใจว่าคุณตัดสินใจดีพอแล้ว ขอให้ไว้วางใจว่าพระเยซูจะนำมาซึ่งผลดี ผ่านลู่ทางใดๆ ก็ได้ ถ้าคุณแสวงหาความประสงค์ของพระองค์ (ในกรณีที่คุณตัดสินใจผิด หรือมีทางแก้หรือโอกาสที่ดีกว่าภายหลัง ไว้วางใจว่าพระองค์จะช่วยให้คุณนึกถึง และนำทางว่าคุณควรจะดำเนินการอย่างไร)

ผมอ่านพบข้อความในหัวข้อการเปิดโอกาส และการดิ้นรนต่อสู้ ซึ่งพวกเราที่เป็นคริสเตียนเผชิญหน้าบ่อยครั้ง เมื่อทำการตัดสินใจเลือกในชีวิต ขณะที่เราแสวงหาความประสงค์ของพระเจ้า ผู้ประพันธ์เขียนไว้ว่า “พระเจ้าใช้ได้แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือน ‘ทางที่ผิด’ ถ้าผมก้าวเข้าไปด้วยจิตใจที่ถูกต้อง”[8] ผมเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ซึ่งทำให้อุ่นใจอย่างยิ่ง เพราะเราจะไม่มีวันตัดสินใจถูกต้อง 100% ในทุกเรื่อง นั่นเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต เราเรียนรู้จากการตัดสินใจผิด นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้ามุ่งหมาย

มาร์ค แบทเทอร์สัน เขียนถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า

ผมไม่รู้จักผู้ติดตามพระคริสต์สักคนเดียว ซึ่งไม่เคยเครียดเพราะพยายามคิดให้ออกว่าอะไรคือความประสงค์ของพระเจ้า เราต้องการแก้ข้อเร้นลับในความประสงค์ของพระเจ้า เหมือนที่เราแก้ปริศนาอักษรไขว้ แต่ในประสบการณ์ของผม การวิเคราะห์ด้วยเชาวน์ปัญญา มักจะยังผลให้เป็นอัมพาตทางจิตวิญญาณ

เราพยายามตีกรอบให้พระเจ้าอยู่ในขอบเขตจำกัดตามหัวคิดของเรา เราพยายามย่อส่วนความประสงค์ของพระเจ้าให้เท่ากับขีดจำกัดตามเหตุผลของเรา ทว่าความประสงค์ของพระเจ้าไม่เป็นไปตามเหตุผลหรือสมการที่เกี่ยวเนื่องกัน ทว่าสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ใจหนึ่งเรารู้สึกราวกับว่ามีอะไรผิดปกติทางจิตวิญญาณ เมื่อเราประสบสภาพการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่พระเยซูสัญญาไว้กับเรา เมื่อเราบังเกิดในวิญญาณ และเริ่มติดตามพระองค์

พวกเราส่วนมากไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมทราบว่านั่นทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง แต่สภาพการณ์ที่ไม่แน่นอน ก็คือการผจญภัยนั่นเอง

ไม่มีอะไรที่น่าหวาดหวั่นหรือแปลกใหม่ ยิ่งไปกว่าการติดตามพระเจ้าด้วยศรัทธาแรงกล้า ยิ่งเรายอมรับความจริงทางจิตวิญญาณดังกล่าวเร็วเท่าไร เราก็จะยิ่งชื่นชมการเดินทางมากขึ้นเท่านั้น”[9]

ถ้าเรามีมุมมองจากสวรรค์มากขึ้น เราจะชื่นชมการเดินทางในชีวิตมากขึ้น ขอยอมรับว่าปัญหาที่เราเผชิญหน้าตลอดชีวิต ไม่ใช่เรื่อง“ง่าย” แต่พระเยซูสัญญาว่าจะมอบพละกำลังให้เราแบกรับปัญหาเหล่านั้นได้ พระองค์กล่าวว่า “แอกของเราเบา และภาระของเราพอเหมาะ”[10] เมื่อเรารับพละกำลังของพระองค์ไว้ เราก็มีสันติสุข ท่ามกลางมรสุม และความยินดีล้นพ้น แม้ในสภาพการณ์ที่ยุ่งยากใจ

พระเยซูคือแหล่งที่มาของสันติสุข พระนามของพระองค์ “คือป้อมปราการอันแข็งแกร่ง” ซึ่งเรา“วิ่งเข้าไปหลบภัย”[11]


[1] พระคัมภีร์

[2] สดุดี 55:22

[3] 1 เปโตร 5:7

[4] อิสยาห์ 26:3

[5] ยอห์น 14:27

[6] ฟีลิปปี 4:8

[7] ออกัสตินแห่งฮิปโป ในหนังสือ Confessions เล่ม I บทที่ 1

[8] จอห์น ออตเบิร์ก  ในเรื่อง All the Places to Go … How Will You Know? (คาโรล สตรีม อิลลินอยส์: สำนักพิมพ์ทินเดล ค.ศ. 2015) หน้า 17

[9] เรื่อง Wild Goose Chase (โคโลราโด สปริงส์: สำนักพิมพ์มัลท์โนมาห์บุ๊คส์ ค.ศ. 2008)

[10] มัทธิว 11:30

[11] สุภาษิต 18:10

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้