เหมือนพระเยซูมากขึ้น: เป็นเหมือนพระเจ้า (ตอนที่ 1)

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

กรกฎาคม 19, 2016

[More Like Jesus: In God's Likeness (Part 1)]

(บทความนี้มาจากประเด็นสำคัญในหนังสือ Classical Arminianism โดย เอฟ ลีรอย ฟอร์ไลน์ส[1])

ดังที่หยิบยกไว้ในบทความก่อนหน้าของเรื่องชุดนี้ การเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น ต้องอาศัยความเพียรพยายามในสองแนวทาง ได้แก่ เราต้อง“สละ”บาป และ“รับ” พระคริสต์ไว้ เราควรจะเลิกละพฤติกรรมจากความมืด และสวมยุทธภัณฑ์จากความสว่าง[2] ประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์[3] ส่วนวิถีชีวิตเดิมนั้น ท่านได้รับการสอนให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน[4] เพื่อสวมตัวตนใหม่ซึ่งพระเจ้าสร้างขึ้นให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง[5] การที่จะเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น เราต้องมุ่งเน้นทั้งแง่บวกและแง่ลบ แง่บวกคือรับพระคริสต์ไว้ ส่วนแง่ลบคือฟันฝ่าความบาปในชีวิตเรา

ผมไม่ชอบพูดถึงความบาป ทว่าความบาปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ทุกคน และในการรับพระคริสต์ไว้ เราต้องเผชิญหน้ากับความบาป และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะมัน แน่นอนว่าเราจะไม่มีวันขจัดความบาปไปจากชีวิตทางโลกโดยสิ้นเชิง ทว่าเรามีชัยชนะได้บางส่วน ด้วยความปรานีและความช่วยเหลือของพระเจ้า ความรอดปลดปล่อยเราจากเงื้อมมืออันแข็งแกร่งของบาป และทำให้เป็นไปได้ที่พระวิญญาณของพระเจ้าจะเปลี่ยนเรา

การที่จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่ความรอดนำมาสู่ชีวิตเรา ในการเอาชนะความบาป เราต้องนึกย้อนหลังไปก่อนหน้าที่บาปจะเข้ามาสู่มวลมนุษย์ รวมทั้งผลลัพธ์จากการที่บาปเข้ามา และครอบงำมนุษย์ ในที่สุดเกิดการเปลี่ยนแปลง ผ่านการที่พระเยซูยอมตายเพื่อบาปของเรา โดยเริ่มต้นจากการที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาในภาพลักษณ์ของพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์บอกเราว่า

พระเจ้ากล่าวว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา ตามอย่างเรา”... ดังนั้นพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระเจ้าสร้างทั้งผู้ชายและผู้หญิง ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ [6]

ข้อความนี้บอกเราว่ามนุษย์ได้รับการออกแบบมาตามอย่างพระเจ้า พระเจ้าเป็นบุคคล เรามีเหตุผล การรู้จักตนเอง เชาว์นปัญญา ความมุ่งมั่น อารมณ์ และความรู้ เช่นเดียวกับพระเจ้า เรานึกคิด หาเหตุผล และเรียนรู้ได้

นอกจากนี้ เรามีคุณธรรมเหมือนพระเจ้า ข้อพระคัมภีร์สอนว่ามนุษย์ทุกคนมีบัญญัติของพระเจ้า “จารึกไว้ในใจ”[7] ทุกคนรู้แน่แก่ใจถึงความแตกต่างว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเขามีจิตสำนึกที่กล่าวโทษเมื่อเขาทำผิด เราไม่ได้รับสิทธิ์ให้ตัดสินใจว่าเราควรดำเนินชีวิตตามมาตรฐานด้านคุณธรรมของพระเจ้าหรือไม่ เพราะพระเจ้ากำหนดขอบเขตไว้แล้ว เมื่อพระองค์สร้างเราขึ้นมา เราอาจตัดสินใจว่าเราไม่ต้องการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าเราจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และมีผลตามมาจากการปฏิบัติตนผิดคุณธรรมของพระเจ้า เมื่อรายบุคคลต้องรับผิดชอบการกระทำของตนต่อพระเจ้าในบั้นปลายชีวิต ไม่มีใครกล่าวได้ว่าเขาไม่รู้ว่าเป็นการผิดที่จะเข่นฆ่า โกหก ลักขโมย ฯลฯ เพราะพระเจ้าปลูกฝังคุณธรรมเบื้องต้นไว้ในมนุษย์ทุกคน

พระคัมภีร์กล่าวถึงการที่จิตของเรามีบทบาทในชีวิตที่เราดำเนินไปด้วยความศรัทธา และการตัดสินใจที่ยึดคุณธรรมเป็นหลัก

รักพระผู้เป็นเจ้าสุดจิตสุดใจและสุดความคิดของท่าน[8] แต่ละคนควรเชื่อแน่ในความคิดของตนอย่างเต็มที่[9] เราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของเขา จารึกไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นคนของเรา[10]

ข้อพระคัมภีร์ใช้คำว่าคิด 54 ครั้ง คำว่าคิดหาเหตุผล 50 ครั้ง คำว่าเข้าใจ และความเข้าใจ 145 ครั้ง เราใช้จิตของเรานึกคิด หาเหตุผล ตัดสิน สรุปความ พิจารณาสถานการณ์ ฯลฯ

พระคัมภีร์กล่าวถึงหัวใจของเราไว้ด้วย หัวใจเป็นที่พำนักอารมณ์ของเรา เป็นที่มาของความรู้สึก เราเกิดความชื่นชมยินดีในใจ[11] รวมถึงความปวดร้าว[12] ความเกลียด[13] ความรัก[14] ความกล้าหาญ[15] และความเศร้าโศก[16]

นอกจากนี้ ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงถึงอำนาจในการตัดสินใจ และความประสงค์ของเรา ข้อเท็จจริงที่ว่าเราทำตัวตามที่เราปรารถนาได้ พระเยซูกล่าวถึงการที่รายบุคคลมีทางเลือก

หากผู้ใดปรารถนาที่จะติดตามเรา...[17]เราปรารถนาเนืองๆ ที่จะรวบรวมลูก ของเจ้า เหมือนแม่ไก่กกลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอม![18] ถ้าผู้ใดเลือกที่จะทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะรู้หลักคำสอน...[19]

เราเป็นมนุษย์ที่มีเจตจำนงค์เสรี และอิสระในการเลือกคือส่วนหนึ่งในความเป็นมนุษย์

แง่มุมหนึ่งในการถูกสร้างขึ้นมาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า คือ เรามีความนึกคิด ตรึกตรองหาเหตุผล และเข้าใจ นอกจากนี้เรายังมีอารมณ์ความรู้สึก และความมุ่งมั่นในตนเอง เราเป็นมนุษย์ผู้มีความนึกคิด ความรู้สึก และการประพฤติตน ในความครบถ้วนสมบูรณ์ เรานึกคิดด้วยจิตของเรา รู้สึกด้วยใจ และประพฤติตนตามความประสงค์ ถึงแม้จะระบุไว้ว่าสิ่งที่กล่าวมานี้ปฏิบัติงานเป็นเอกเทศ ทว่าความคิด จิตใจ และความประสงค์ คือส่วนประกอบที่กันเป็นตัวตนของเรา

แง่คิดที่ว่ามนุษย์มีเหตุผลและคุณธรรม บ่อยครั้งอ้างอิงไว้ว่าเป็นความเหมือนพระเจ้าส่วนพื้นฐาน ภาพลักษณ์ของพระเจ้าในมนุษย์สองคนแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา (อาดัมและอีฟ) รวมความเหมือนเชิงปฏิบัติไว้ด้วย ความเหมือนเชิงปฏิบัติหมายความว่าเดิมทีมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้นึกคิด รู้สึก และประพฤติตนในทางที่พระเจ้าพอใจ ความเหมือนในส่วนพื้นฐานเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ ความเหมือนเชิงปฏิบัติอ้างอิงถึงการที่คนเรานึกคิด รู้สึก และประพฤติตน นอกจากนี้ยังอ้างอิงไว้ว่าเป็นบุคลิกลักษณะ (บุคลิกลักษณะในแง่นี้ไม่ได้อ้างถึงอุปนิสัย เช่นในแง่ที่ว่า “เธอมีบุคลิกดี”) ตอนแรกที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมา ก่อนที่จะตกอับเพราะบาป มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนพระเจ้า ทั้งในแง่ของความเป็นมนุษย์ และบุคลิกลักษณะ

บุคลิกลักษณะส่งผลในสองระดับ คือ ระดับจิตสำนึก และระดับจิตใต้สำนึก เมื่อมนุษย์คู่แรกถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งตกอับเพราะบาป ส่งผลทั้งระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ในความเหมือนพระเจ้า

จิตใต้สำนึก (ณ ที่นี้ใช้ในวงกว้าง รวมถึงความคิดจิตใจและความประสงค์) อันประกอบด้วยแนวคิด ทัศนคติ และการตอบรับ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา และมีแรงชักจูงต่อความนึกคิด การกระทำ และปฏิกิริยาของเรา โดยที่บ่อยครั้งเราไม่ได้ตระหนัก ในแง่นี้จิตเกี่ยวข้องกับบุคลิกลักษณะทั้งหมดของเรา ได้แก่ ความคิดจิตใจ และความประสงค์ เราเก็บความรู้หรือแนวคิดไว้ในจิตใต้สำนึกของเราโดยที่ไม่ได้คิด หรือโดยอัตโนมัติ ซึ่งพร้อมให้เรียกใช้เมื่อจำเป็น มีความรู้ที่เรารวบรวมไว้น้อยมากอยู่ในจิตสำนึกของเราทุกชั่วขณะ

ถึงแม้ว่าข้อพระคัมภีร์ไม่ได้ใช้คำว่า “จิตใต้สำนึก” แต่กล่าวเป็นนัยถึงส่วนที่เป็นความทรงจำ ประสบการณ์ และหัวใจส่วนที่จิตสำนึกของเราเข้าถึงโดยตรงไม่ได้ เดวิดขอให้พระเจ้าชำระล้างเขาจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่[20] ความผิดดังกล่าวไม่ใช่ความลับต่อพระเจ้า ดังนั้นเดวิดอาจอ้างอิงถึงความผิดที่ซ่อนเร้นจากตัวเขาเอง สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกซึ่งเขาไม่ตระหนัก และเข้าถึงไม่ได้ เราเล็งเห็นบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน เมื่อเดวิดอธิษฐานว่า

ขอพระเจ้าตรวจดูเถิด และทราบจิตใจของข้า! ทดสอบให้ประจักษ์แจ้งถึงความคิดของข้า! โปรดดูว่ามีสิ่งใดบ้างในตัวข้า ซึ่งไม่เป็นที่พอใจ และนำข้าไปตามวิถีทางของความเป็นนิรันดร์[21] อีกตอนหนึ่งเดวิดกล่าวว่า พระองค์ประสงค์ความจริงที่อยู่ภายใน พระองค์สอนข้าถึงปัญญาส่วนที่เร้นลับในใจ[22]

บางฉบับแปล “ส่วนที่เร้นลับในใจ” ว่า “ส่วนที่ซ่อนเร้น” หรือ “ส่วนล้ำลึกในใจ” เดวิดอ้างอิงถึงส่วนลึกที่ซ่อนเร้นในใจเรา ถึงแม้ว่าจะใช้คำที่แตกต่างกัน ผู้เขียนในกาลก่อนทราบว่ามีส่วนในความคิด/จิตใจ/ส่วนลึก ซึ่งล้ำลึกกว่า หรือซ่อนเร้นจากจิตสำนึกของเรา

ก่อนหน้าที่มนุษย์จะตกอับเพราะบาป จิตใต้สำนึกของอาดัมและอีฟ ล่วงรู้แนวคิดและทัศนคติที่เหมือนพระเจ้าเท่านั้น เขาไม่รับรู้ถึงความชั่วร้าย ทั้งในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก เขารับรู้เฉพาะความดีงาม ดังนั้นเขาจึงนึกคิด รู้สึก และประพฤติตน ตามแบบอย่างพระเจ้า สภาวะนี้เป็นที่รู้จักกันว่า “ความชอบธรรมดั้งเดิม” สภาวะดั้งเดิมของมนุษย์สองคนแรกเป็นความบริสุทธิ์เชิงบวก ไม่ใช่สภาวะไร้เดียงสา หรือสภาพความเป็นกลางด้านคุณธรรม อาดัมกับอีฟมีความชอบธรรมแต่กำเนิด ความรู้สึกนึกคิดและความประพฤติชอบธรรม เป็นส่วนหนึ่งในตัวเขามาแต่กำเนิด โดยเป็นส่วนหนึ่งที่เขาถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนพระเจ้า

ดังที่อธิบายไว้ในเรื่องชุดหัวใจสำคัญ

ก่อนที่อาดัมและอีฟจะตกอับเพราะบาป เขาบริสุทธิ์ และ “posse non peccare” เป็นคำศัพท์ทางศาสนศาสตร์หมายถึง “ไม่สามารถทำบาป” ถึงแม้ว่าเขาเลือกทำบาปได้ เขาก็เลือกที่จะไม่ทำบาปได้ด้วย ฉะนั้นเขาจึงคงสภาพที่ไร้บาป ภายหลังการตกอับเพราะบาป เขาแตกต่างไป ความบริสุทธิ์ทางคุณธรรมหมดไป ความปรารถนาและความสามารถที่จะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับความประสงค์ของพระเจ้าก็บิดเบือนไป ความสามารถที่จะไม่ทำบาปและคงสภาพที่ไร้บาป ก็ไม่มีอีกต่อไป นับจากนั้น เขาและมวลมนุษย์ที่สืบทอดมา “non posse non peccare” หมายความว่า “ขาดความสามารถที่จะไม่ทำบาป” นับจากนั้น มนุษย์เป็นคนบาปโดยธรรมชาติ ถึงแม้ว่าบางครั้งเขายับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำบาป แต่โดยธรรมชาติเขาทำบาป และขาดความสามารถที่จะไม่ทำบาป ถึงแม้ว่าเรายังคงมีภาพลักษณ์ของพระเจ้า แต่ภาพลักษณ์เปลี่ยนไป เนื่องจากบาป ขอบคุณพระเจ้า ในฐานะคริสเตียน เราหักล้างผลกระทบบางอย่างในสภาพตกอับได้ ผ่านความเชื่อ การแนบชิด การซึมซับ และการนำพระคำของพระเจ้ามาปรับใช้ เมื่อถึงเวลาฟื้นคืนชีพของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อคริสเตียนฟื้นคืนชีพด้วยสง่าราศี และผนึกเข้ากับร่างของเขา เราจะเป็นอิสระจากผลกระทบจากสภาพธรรมชาติของมนุษย์ที่ตกอับ[23]

ก่อนที่อาดัมและอีฟจะทำบาป เขาดำเนินชีวิตอยู่ภายในกรอบของความเป็นไปได้ คือการอยู่ในหลักปฏิบัติอันชอบธรรมโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ทำบาป หลังจากที่เขาทำบาป หลักปฏิบัติภายในกรอบนั้นก็เป็นไม่ได้อีกต่อไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีหลักปฏิบัติอันชอบธรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาขาดความสามารถที่จะทำบาป เขาสูญเสีย“ความชอบธรรมดั้งเดิม” ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า นับตั้งแต่การตกอับ มนุษย์ถือกำเนิดมาด้วยธรรมชาติที่มีบาปแต่กำเนิด คือว่าเรามีแนวโน้มที่จะทำบาปโดยกำเนิด สภาพที่เราถือกำเนิดมาเช่นนี้ เรียกว่า “บาปดั้งเดิม”

หลังจากที่มนุษย์ตกอับเพราะบาป ความเหมือนพระเจ้าส่วนพื้นฐานยังอยู่ในตัวเรา ถึงแม้จะเสื่อมไปบ้าง เรายังคงเป็นมนุษย์ที่มีเหตุผล มีความรู้สึกนึกคิด และประพฤติตน อย่างไรก็ตาม เราสูญเสียความเหมือนพระเจ้าในเชิงปฏิบัติ โดยธรรมชาติเรารู้สึกนึกคิดและประพฤติตนไม่เหมือนพระเจ้าอีกต่อไป จิตใต้สำนึกของเราไม่มีแนวโน้มไปสู่ทางของพระเจ้าอีกต่อไป ด้วยการรู้สึกนึกคิดและประพฤติตนชอบธรรม เราจึงมีแนวโน้มที่จะทำบาป

การรับความรอดผ่านศรัทธาต่อการที่พระคริสต์ยอมตายและฟื้นคืนชีพ ทำลายอำนาจที่ความบาปมีต่อชีวิตเรา นี่ไม่ได้หยุดความบาป ทว่าเปลี่ยนแปลงการที่บาปมีอำนาจเหนือเรา ความรอดเปลี่ยนสัมพันธภาพที่เรามีกับพระเจ้า จากการที่พระคริสต์ดำเนินชีวิตอย่างไร้บาป และสละพระองค์เอง ผ่านการตายบนไม้กางเขน เราจึงไม่ตกอยู่ภายใต้พันธนาการของบาปอีกต่อไป พระเจ้าไม่ได้มองเราว่ามีความผิดอีกต่อไป เราไม่ต้องห่างเหินจากพระเจ้าอีกต่อไป[24] ก่อนหน้านี้เราตกอยู่ภายใต้อำนาจของบาป อย่างไรก็ตาม อำนาจนั้นถูกหักล้างไปแล้ว ผ่านความรอด เราได้รับการปลดปล่อยจากแวดวงการครอบงำของบาป ไปสู่แวดวงความปรานีของพระเจ้า

ความรอดแยกคริสเตียนไว้จากมวลมนุษย์ส่วนที่เหลือ ในแง่ที่ว่าเราไม่ได้ยืนต่อหน้าพระเจ้า โดยมีความผิดอีกต่อไป เราได้รับการประกาศว่ามีความชอบธรรม เราเปลี่ยนไปแล้ว ผ่านการบังเกิดใหม่ และการฟื้นฟูจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

เมื่อก่อนเราก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา และความสุขสำราญทุกชนิด เราใช้ชีวิตที่เลวร้าย อิจฉา ริษยา เกลียดชังกันและกัน แต่เมื่อความกรุณาและความรักของพระเจ้า ปรากฏในพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระองค์มีความเมตตา พระองค์ช่วยเราให้รอด ผ่านการชำระล้าง ด้วยการบังเกิดใหม่ และการสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้พรั่งพรูมาสู่เราผ่านพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เมื่อเราได้ชื่อเป็นผู้ชอบธรรม โดยความปรานีของพระองค์แล้ว เราจะกลายเป็นทายาท ผู้มีความหวังในชีวิตนิรันดร์[25]

การบังเกิดใหม่ และได้รับการฟื้นฟูจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายความว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเรา การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการปรับตัวให้เป็นเหมือนพระบุตร[26] อาจเล็งเห็นว่าการเป็นเหมือนพระบุตรคือการปรับชีวิตในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต่อความรู้สึกนึกคิดและการประพฤติตน เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนพระคริสต์ ถ้าจะว่ากันไป นี่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในจิตใต้สำนึก โดยจัดระบบใหม่ เพราะขณะที่ความคิด คำพูด และการกระทำ มาจากจิตสำนึก ทว่าบ่งบอกถึงธรรมชาติเบื้องต้นในส่วนลึก จากจิตใต้สำนึก คำศัพท์ทางศาสนศาสตร์สำหรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในชีวิตเรา คือ การชำระล้างให้บริสุทธิ์ ซึ่งอ้างอิงถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความคืบหน้าไปสู่ความเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

ขณะนี้ท่านเป็นอิสระจากบาป และกลายเป็นทาสรับใช้พระเจ้า ผลที่ท่านได้เก็บเกี่ยวนำไปสู่ความบริสุทธิ์ คือชีวิตนิรันดร์[27]

อัครสาวกเปาโลกล่าวถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาพลักษณ์สง่าราศีของพระองค์ว่า

เราทั้งหลายผู้ไม่มีผ้าคลุมหน้า ล้วนเล็งเห็นสง่าราศีของพระองค์ เรากำลังเปลี่ยนเป็นเหมือนพระองค์ ด้วยสง่าราศีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที[28]

รากศัพท์ภาษากรีกซึ่งแปลคำว่าเปลี่ยน อ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก ในการใช้คำนี้ เปาโลกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานจากส่วนลึก ในธรรมชาติส่วนลึกของคริสเตียน เป็นการเปลี่ยนบุคลิกลักษณะของเรา (ดังที่ให้คำนิยามไว้ข้างต้น หมายถึงความรู้สึกนึกคิดและการประพฤติตน) โดยจัดระบบใหม่ ในส่วนลึกของตัวเราเอง การเปลี่ยนแปลงในขั้นพื้นฐานเช่นนี้ ทำให้ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของเราสอดคล้องกับวิสัยของพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในชีวิตส่วนลึกของเรา (จิตใจและความประสงค์) ควรสะท้อนให้เห็นในชีวิตภายนอก การกระทำภายนอกสะท้อนจากความเป็นจริงภายในบุคลิกลักษณะของเรา

การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของพระคริสต์นั้นเป็นไปได้ เนื่องจากความรอด ซึ่งปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากบาปที่ครอบงำชีวิตเรา โดยเปิดโอกาสให้เรานึกคิดและกระทำด้วยจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ในลักษณะที่เป็นไปตามแบบอย่างของพระเจ้ามากขึ้น นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทำบาป แต่ช่วยให้เราสามารถเติบโตในการเป็นเหมือนพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ก้าวผ่านสภาวะเดิมซึ่งตกอยู่ในพันธนาการของบาป ถึงแม้ว่ายังคงมีพฤติกรรมที่เป็นบาปในตัวเรา แต่บาปไม่มีอำนาจเช่นเดิมเหนือเราอีกต่อไป บางครั้งเราพลาดพลั้ง เพราะเราเป็นมนุษย์ แต่ในส่วนลึก เราปรารถนาที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง บาปไม่มีอำนาจครอบงำเราอีกต่อไป ทว่าเราปรารถนาที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้น ซึ่งเราทำเช่นนั้น โดยการหลีกห่างจากบาป

จงเข้ามาใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเข้ามาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลาย จงล้างมือให้สะอาด คนสองใจ จงชำระใจให้บริสุทธิ์[29]

การเข้ามาใกล้พระเจ้าคือการหลีกห่างจากบาป

(มีตอนต่อไป)


[1] แนชวิลล์: สำนักพิมพ์ แรนดอลล์เฮาส์พับลิเคชั่นส์ ค.ศ. 2011

[2] โรม 13:12

[3] โรม 13:!4

[4] เอเฟซัส 4:22

[5] เอเฟซัส 4:24

[6] ปฐมกาล 1: 26-27 ดู ปฐมกาล 9:6 ด้วย

[7] เมื่อชนต่างชาติผู้ไม่มีบทบัญญัติ ทำสิ่งที่บทบัญญํติกำหนดไว้โดยปกติวิสัย เขาก็เป็นบทบัญญัติให้ตนเอง แม้ว่าเขาไม่มีบทบัญญัติ เพราะเขาแสดงให้เห็นว่าข้อกำหนดของบทบัญญัติจารึกอยู่ในใจเขา จิตสำนึกของเขาก็เป็นพยานด้วย และความคิดของเขาจะกล่าวโทษหรือแก้ต่างให้เขา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันที่พระเจ้าพิพากษาความลับของมนุษย์ โดยพระเยซูคริสต์ ตามที่ระบุไว้ในข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าประกาศ (โรม 2:14-16)

[8] มัทธิว 22:37

[9] โรม 14:5

[10] ฮีบรู 8:10

[11] สดุดี 4:7

[12] โรม 9:2

[13] 2 ซามูเอล 6:16

[14] มัทธิว 22:37

[15] สุดดี 27:14

[16] สดุดี 13:2

[17] มัทธิว 16:24

[18] มัทธิว 23:37

[19] ยอห์น 7:17

[20] สดุดดี 19:12-13

[21] สดุดี 139:23-24

[22] สดุดี 51:6

[23] Heart of It All: Humanity, Made in the Image and Likeness of God (Part One)

[24] พระเจ้าพอใจที่จะให้ความบริบูรณ์ของพระองค์อยู่ในพระบุตร และให้ทุกสิ่งทั้งบนโลกและในสวรรค์สมานไมตรีกับพระองค์ ผ่านพระบุตร สันติภาพนี้มีขึ้นโดยพระโลหิต ครั้งหนึ่งพวกท่านเคยตัดขาดจากพระเจ้า และเป็นอริกับพระองค์ในใจ เพราะพฤติกรรมชั่วของท่าน แต่บัดนี้ให้ท่านสมานไมตรีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์ (โคโลสี 1:19-22)

[25] ทิตัส 3:3-7

[26] โรม 8:29

[27] โรม 6:22

[28] 2 โครินธ์ 3:18

[29] ยากอบ 4:8

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้