ค่านิยมหลักของ TFI: ดำเนินชีวิต “เพื่อพระองค์”

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

พฤศจิกายน 26, 2013

[TFI’s Core Values: Living “as unto Him”]

เราได้วางแบบอย่างไว้ เพื่อท่านจะทำเหมือนที่เราได้ทำเพื่อท่าน[1]

เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูสละชีพเพื่อเรา และเราควรสละชีวิตเพื่อพี่น้อง ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องขัดสน แต่ไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในใจผู้นั้นได้อย่างไร ลูกรัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง[2]

จอมราชาจะตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่า สิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้อง ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย’[3]

เพราะเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราเองเป็นผู้รับใช้ของท่าน โดยเห็นแก่พระเยซู[4]

ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ เสมือนหนึ่งพระเจ้าร้องเรียกท่านผ่านเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ว่า จงสมานไมตรีกับพระเจ้า[5]

ค่านิยมหลักประการที่เก้า ข้อสุดท้ายของเดอะแฟมิลี่นานาชาติ คือ

ดำเนินชีวิต "เพื่อพระองค์" เราดำเนินการตามความศรัทธาของเรา เราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ที่ทุกข์ใจ ประสบความเดือดร้อน เสียเปรียบ ถูกเหยียบย่ำ และขัดสน โดยที่ถือว่าเราทำเพื่อพระเยซู

พระเยซูมาเพื่อรับใช้ และเราได้รับมอบหมายให้ทำเช่นเดียวกัน การรับใช้ผู้ที่ขัดสนเป็นวิถีทางที่แสนวิเศษในการบ่งบอกถึงความศรัทธาของเรา ผู้ที่ด้อยโอกาส ขัดสน และหิวโหย จำเป็นต้องทราบว่ามีคนรักและห่วงใยเขา เขามีค่า พระเจ้าเห็นคุณค่าเขา ในฐานะคริสเตียน เราก็เห็นคุณค่าเขาเช่นกัน

การช่วยงานจิตอาสาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เยี่ยมเยียนผู้ป่วย อนุเคราะห์นักโทษ ขุดบ่อเก็บน้ำ สอนผู้ที่ด้อยโอกาส หน่วยแพทย์อาสา เป็นตัวแทนผู้ที่ถูกกดขี่ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นวิธีที่มีคุณประโยชน์ในการสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น และนำพระวิญญานของพระเยซูมาสู่ชีวิตผู้ที่ขัดสน ในกิจกรรมเหล่านี้คุณคงไม่สามารถบ่งบอกถึงความศรัทธาของคุณเสมอไป แต่คุณดำเนินชีวิตตามความศรัทธา ด้วยการมอบความรักของพระเจ้า โดยให้ความเอาใจใส่และความห่วงใย ผู้ที่ได้รับความรักของคุณ คือผู้ที่ได้รับความรักของพระเจ้า เพราะคุณทำสิ่งเหล่านี้ “เพื่อพระองค์”

เซนต์ออกัสตินกล่าวว่า “ความรักมีรูปร่างเช่นไร ความรักมีมือที่ช่วยเหลือผู้อื่น มีเท้าที่รีบไปหาคนยากจนและขัดสน มีตาที่เห็นความทุกข์ตรมและความต้องการ มีหูที่ได้ยินเสียงถอนหายใจ และความเศร้าของมนุษย์ ความรักมีรูปร่างเช่นนั้น”[6]

เมื่อกล่าวถึงการที่พระเจ้าดำเนินงานผ่านเรา เดวิดผู้ก่อตั้งหมู่คณะของเรากล่าวไว้ว่า

พระองค์ไม่มีมือใด นอกจากมือของคุณ พระองค์ไม่มีริมฝีปากใด นอกจากริมฝีปากของคุณ พระองค์ไม่มีดวงตาใด นอกจากดวงตาของคุณ และไม่มีร่างกายใด นอกจากร่างกายของคุณเอง เพราะคุณคือร่างกายของพระองค์ เจ้าสาวของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์สละชีวิตให้ เพื่อคุณจะได้มีชีวิต และรักผู้อื่น เหมือนที่พระองค์ได้ทำ ด้วยมือ ริมฝีปาก ปาก ลิ้น ตา และร่างกายของคุณ ซึ่งแตกสลายเพื่อเขา ดังที่พระองค์ได้ทำเพื่อคุณ คุณสละเลือดเพื่อเขา ดังที่พระองค์ได้สละเพื่อคุณ คุณมอบชีวิตให้เขา ดังที่พระองค์ได้มอบให้คุณ จนถึงกับพลีชีพเพื่อเขา เหมือนที่พระองค์ได้พลีชีพเพื่อคุณ![7]

พระเยซูดำเนินชีวิตเช่นไร พระองค์เป็นที่รู้จักเพราะอะไร พระองค์มีความเมตตากรุณา อดทน เลี้ยงอาหารคนยากจน และรักษาคนเจ็บป่วย พระองค์มีจิตใจที่เมตตาและให้อภัย พระองค์แสนดีและห่วงใย พระองค์รักโดยไม่มีเงื่อนไข พระองค์ดูแลเอาใจใส่ พระองค์พูดความจริง พระองค์ใกล้ชิดผู้ติดตามของพระองค์ และพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ พระองค์มีพันธกิจ พระองค์มาเพื่อรับใช้ ไม่ใช่ให้คนอื่นรับใช้ คุณสมบัติที่ดึงดูดผู้คนมาสู่พระเยซู คือคุณสมบัติที่ควรจะดึงดูดผู้อื่นมาหาเรา ซึ่งเป็นผู้ติดตามของพระองค์ เราควรจะกล่าวเหมือนที่ยอห์นผู้รับบัพติศมากล่าวว่า “พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนเราต้องด้อยลง”[8]

การดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา และทำตามแบบอย่างของพระเยซู คือดำเนินการตามความศรัทธา ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ และทำเช่นนั้นเพื่อพระองค์ เราเสาะหาผู้ที่สุขภาพดี มีฐานะดี และมีปัญญา ทว่าอ่อนอกอ่อนใจ ทุกข์ร้อน และหลงทาง เราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้ที่ยากไร้ ประสบโรคภัยไข้เจ็บ ต้องได้รับการรักษาจากพระองค์ และต้องการความหวังสำหรับอนาคต เราเห็นอกเห็นใจกับชะตากรรมของผู้ที่ถูกข่มเหงรังแก ผู้ที่สังคมไม่ยอมรับ หรือถูกบังคับฝืนใจให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้มนุษยธรรม

ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร เราพยายามพิจารณาว่าจะเป็นแบบอย่างความรักของพระเจ้าให้ดีที่สุดได้อย่างไร นี่คือส่วนหนึ่งในการเป็นความสว่างและเกลือของโลก ขณะที่เราฉายแสงความรักและความจริงของพระเจ้าให้กับผู้ที่ขัดสน และแสดงความรักของพระเจ้าออกมาเป็นการกระทำ

เมื่อเราดำเนินชีวิตตามความเชื่อของคริสเตียน ดำเนินการตามความศรัทธา และปฏิบัติตามพระวิญญาณของพระเจ้า เราก็พยายามเป็นเหมือนพระเยซูอย่างแท้จริง ด้วยการรับคุณสมบัติของพระองค์ไว้ ซึ่งก่อให้เกิดความเมตตากรุณา ความสงสาร ความเห็นใจ โดยที่เข้าใจความจำเป็นทางกายภาพและทางจิตวิญญาณของผู้คน นี่ดลใจให้เราทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อปรับปรุงชีวิตเขาให้ดีขึ้น ทั้งทางจิตวิญญาณและทางปฏิบัติ เราเจริญรอยตามพระเยซู เราติดตามพระองค์ผู้เป็นเจ้านาย

ในคำสอนชื่อ “Think Hard, Stay Humble” (คิดหนัก ถ่อมตนเข้าไว้) ฟรานซิส ชาน เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายชื่อวอฟ์น ผู้ซึ่งส่องประกายความรักของพระคริสต์ไปสู่ทุกคนรอบข้าง เรื่องราวมีใจความว่า

สองสามปีมาแล้ว มิชชันนารีคนหนึ่งมาที่โบสถ์ของเรา และเล่าเรื่องราวน่าซาบซึ้งใจ เกี่ยวกับการแบ่งปันพระกิตติคุณกับชนเผ่าที่ห่างไกลความเจริญ ในปาปัวนิวกินี เมื่อเล่าจบมิชชันนารีกล่าวว่า “ผมขอมอบความดีความชอบให้กับวอฟ์น อดีตศิษยาภิบาลเยาวชน ผู้ที่รักผม เขาดลใจให้ผมดำเนินชีวิตเพื่อพระคริสต์ และแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่น” สัปดาห์ต่อมามีอีกคนหนึ่งมาที่โบสถ์ของเรา เขาท้าทายเราให้เริ่มอุปถัมภ์เด็กผู้ยากไร้ นักพูดคนที่สองสรุปโดยกล่าวเช่นกันว่า “ผมเข้ามาทำหน้าที่การงานนี้ เพราะศิษยาภิบาลเยาวชน ชื่อวอฟ์น” ผมพบว่าเขาเป็นเยาวชนกลุ่มเดียวกัน!

สัปดาห์ต่อมานักพูดอีกคนหนึ่งชื่อแดน บอกเราเกี่ยวกับการงานมิชชั่นที่เป็นพันธกิจกอบกู้ ใจกลางเมืองแอลเอ หลังจากแดนกล่าวจบ ผมกล่าวเปรยขึ้นมาว่า “แปลกมาก สองสัปดาห์ที่ผ่านมา นักพูดทั้งสองคนเอ่ยว่าศิษยาภิบาลเยาวชนชื่อวอฟ์น มีแรงชักจูงต่อเขามากเพียงใด”

แดนมีสีหน้าประหลาดใจ แล้วบอกผมว่า “ผมรู้จักวอฟ์น เขาเป็นศิษยาภิบาลอยู่ในซานดิเอโกขณะนี้ เขาพาใครต่อใครไปที่กองขยะในทิจัวน่า [เม็กซิโก] ที่ซึ่งเด็กๆ คุ้ยหาของในกองขยะ ผมเพิ่งไปทิจัวน่ากับวอฟ์นมา พอเราเดินเข้าไป เด็กพวกนี้วิ่งมาหา เขามอบความรักเหลือคณาให้แก่เด็กๆ เขาโอบกอด มอบของขวัญ และเลี้ยงอาหาร เขาหาลู่ทางให้เด็กได้อาบน้ำ ฟรานซิส น่าประหลาดใจ ตลอดเวลาที่ผมเดินไปกับวอฟ์น ผมคิดว่า ถ้าพระเยซูอยู่ในโลก ผมคิดว่าคงรู้สึกเช่นนี้ ถ้าได้เดินร่วมทางกับพระองค์ วอฟ์นรักทุกคนที่เขาพบปะ เขาบอกเล่าถึงพระเจ้า ความรักของเขาดึงดูดใจผู้คน”

แล้วแดนกล่าวเช่นนี้ “วันที่ผมอยู่กับวอฟ์น เป็นสิ่งใกล้เคียงการร่วมทางกับพระเยซูมากที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา”

ฟรานซิส ชาน สรุปไว้ว่า: การได้ยินเช่นนี้ทำให้ผมคิดว่ามีใครบ้างที่สติดีจะกล่าวเช่นนี้เกี่ยวกับผม มีใครกล่าวเช่นนี้เกี่ยวกับคุณไหม ... ขณะที่ผมครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ผมอธิษฐานว่า “พระองค์ ผมต้องการเป็นเช่นนั้น ผมไม่ต้องการเป็นสุดยอดนักพูดในโลก นั่นไม่สำคัญ ผมไม่ต้องการเป็นคนมีเชาวน์ปัญญามากที่สุดบนพิภพนี้ ผมไม่ต้องการเป็นที่รู้จักเช่นนั้น ผมต้องการเป็นที่รู้จักโดยที่มีคนกล่าวว่า “โอ้โห เขาเหมือนพระเยซูมาก”[9]

นั่นคือหลักความเชื่อคริสเตียนที่แข็งขัน นั่นคือการเป็นพระเยซูต่อผู้อื่น เพื่อเขาจะได้รู้จักพลังความรัก ความจริง และการให้อภัยของพระองค์

แง่มุมที่แสนวิเศษของการดำเนินชีวิต “เพื่อพระองค์” คือการกระทำที่ไม่มีใครรู้เห็น เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่จะไม่มีวันล่วงรู้ เช่น เมื่อคุณมอบทุนให้แก่ทีมมิชชันนารีในประเทศห่างไกล เมื่อคุณมอบบางสิ่งที่จำเป็นให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็นมากกว่า เมื่อคุณเสียสละเวลาล้ำค่าอธิษฐานอ้อนวอนเพื่อความจำเป็นของใครสักคน ที่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณอธิษฐานให้เขา เราทำสิ่งเหล่านี้เพื่อพระองค์ ถ้าคุณไม่สามารถมีส่วนร่วมในงานพันธกิจแนวหน้า คุณก็อยู่แนวหน้าในการอธิษฐานได้ คุณอธิษฐานเพื่อดวงวิญญาณผู้คน เพื่อชีวิตของเขา คุณอธิษฐานเผื่อการงานและความจำเป็นของเขาก็ได้

สิ่งที่เราทำเพื่อผู้อื่น เช่น งานสงเคราะห์ การอธิษฐาน การมอบให้ เราทำเพื่อพระเยซู เราไม่ได้ทำเพื่อให้คนอื่นยอมรับนับถือ เพื่อสร้างสถิติ เพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน หรือเพื่อความคืบหน้าในสังคม ทว่าเราทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการงานใด เพื่อถวายสง่าราศีแด่พระองค์ นั่นคือส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิต “เพื่อพระองค์”

เรามีเป้าหมายที่จะยกชูพระเยซู ไม่ใช่ยกย่องตัวเอง ดังข้อความยอดนิยมที่ส่งถ่ายทอดกันมาตลอดหลายปี กล่าวว่า “คนเราทำคุณความดีได้อย่างมากในโลกนี้ ถ้าเราไม่ใส่ใจว่าใครได้รับความดีความชอบ”[10] นั่นเป็นจริงแน่ๆ ผมกล้าพูดได้ว่าการกระทำที่เปี่ยมด้วยความรัก อาจมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเราทำเพื่อพระองค์ โดยมอบสง่าราศีและความดีความชอบทั้งสิ้นแด่พระเจ้า 

2 โครินธ์ 5:20 กล่าวว่า “เราเป็นทูตของพระคริสต์ เสมือนหนึ่งพระเจ้าร้องเรียกท่านผ่านเรา” นั่นเป็นถ้อยแถลงที่น่าเกรงขาม ขอให้ดูข้อความแรก “เราเป็นทูตของพระคริสต์”

ทูตคืออะไร ตามพจนานุกรมวิกิพีเดีย ทูตหมายถึงบุคคลที่รัฐบาลของประเทศหนึ่งส่งไปเป็นตัวแทนประเทศ รัฐบาล หรือฝ่ายปกครอง เป็นตัวแทนหรือผู้ส่งสาส์นซึ่งได้รับมอบอำนาจหน้าที่

ดังนั้นเราคือเจ้าหน้าที่และตัวแทนอย่างเป็นทางการของพระคริสต์ เราคือชาวสวรรค์ เราเป็นตัวแทนอาณาจักรของพระเจ้า เราได้รับมอบหมายหน้าที่ชั่วคราวในโลก เพื่อเป็นตัวแทนประเทศ ตัวแทนผู้ครอบครอง ตำแหน่งทูตเป็นเกียรติที่สูงส่ง เราต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม

ข้อความตอนต่อไปกล่าวว่า “พระเจ้าร้องเรียกท่านผ่านเรา” นั่นหมายถึงพระเจ้าสื่อความหมายให้กับชาวโลกผ่านเรา พระองค์มอบข่าวสารผ่านเรา ดังที่ทูตเป็นหน้าเป็นตาของประเทศในโลกนี้ ต่อผู้คนที่เขาพบปะ เราก็เป็นหน้าเป็นตาของพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ เราควรจะให้ผู้ที่เราพบปะได้สัมผัสสวรรค์ และธรรมเนียมของสวรรค์ ซึ่งเราเป็นตัวแทน

วัตถุประสงค์หนึ่งของทูต คือ ดำเนินการเพื่อสันติภาพ และส่งเสริมสันติภาพ เราเป็นตัวแทนองค์สันติราช เรามีหน้าที่มอบข่าวสารของพระองค์ให้แก่ชาวโลก ข่าวสารนั้นคืออะไร ส่วนที่สองของข้อความดังกล่าวบ่งบอกข่าวสารที่เราควรมอบให้อย่างชัดเจน “เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ว่า จงสมานไมตรีกับพระเจ้า”[11]

พระเยซูคาดหมายให้เราเป็นตัวแทนของพระองค์ต่อคนรอบข้าง โดยบอกเขาถึงข่าวที่แสนวิเศษ ว่าเขาสมานไมตรีกับพระเจ้าได้! ขอให้พิจารณาข้อนี้ คือ มีคนหลายล้าน หลายพันล้านด้วยซ้ำ ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าเป็นส่วนตัว ผู้ซึ่งไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพระเยซู ไม่รับรู้ว่ามีของขวัญคือความรอด และชีวิตนิรันดร์ ดุจขุมทรัพย์ที่รอคอยเขาอยู่ เมื่อเขาเพียงรับพระเยซูไว้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เรามีสิทธิพิเศษที่จะแบ่งปันข่าวดีนั้น ด้วยการแนะนำให้ผู้คนรู้จักพระเยซู และนำพาคนมากมายเท่าที่จะเป็นได้ให้ไปสวรรค์กับเราในที่สุด

ขอให้เราแต่ละคนเป็นทูตที่ควรค่าและแข็งขันของพระคริสต์ เราไม่เพียงเป็นตัวแทนประเทศที่งดงามและแสนวิเศษ แต่เราเป็นตัวแทนดินแดนที่น่าอยู่ที่สุด น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ในทั้งจักรวาล คืออาณาจักรของพระเจ้า เราควรภูมิใจอย่างยิ่งในหน้าที่สูงส่งที่เราได้รับมอบหมาย เป็นสิทธิพิเศษจริงๆ ที่ได้รับใช้ผู้อื่น ในฐานะทูตคนหนึ่งของพระเจ้า เราทำได้ และเราควรถ่ายทอดความรัก ความห่วงใย และความเมตตากรุณาของพระเยซู ในทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ การ“รับสภาพเป็นทาส” พระเยซูมอบแบบอย่างการรับใช้ชาวโลก ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยประสบพบเห็น[12]

แม่อธิการเทเรซากล่าวว่า

ฉันเห็นพระเยซูในมนุษย์ทุกคน ฉันบอกกับตัวเองว่า นี่คือพระเยซูผู้หิวโหย ฉันต้องให้อาหารเขา นี่คือพระเยซูผู้เจ็บป่วย คนนี้เป็นโรคเรื้อนหรือแผลเรื้อรัง ฉันต้องล้างแผลและช่วยดูแลเอาใจใส่ ฉันรับใช้ผู้อื่น เพราะฉันรักพระเยซู

ข้อความนี้บ่งบอกแก่นแท้ของค่านิยมหลักดังกล่าว เรารับใช้ผู้อื่น เพราะเรารักพระเยซู ความรักดลใจให้เรารับใช้ผู้อื่นแทนพระองค์ และจูงใจเราให้เป็นทูตของพระองค์ ในสถานการณ์ใดก็ตามที่เราประสบ ความรักครองใจเรา เราจึงยินยอมให้พระองค์ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนในทางปฏิบัติ โดยมอบความหวังและการเยียวยาให้แก่ผู้ที่หัวใจแตกสลาย เมื่อเราเห็นพระเยซูในทุกคนที่พบปะ เราจะปฏิบัติตนเหมือนพระองค์มากขึ้น

เราคือมือของพระองค์ เพื่อช่วยเหลือและสัมผัส คือปากของพระองค์ เพื่อพูดความจริง ให้กำลังใจและความหวัง คือตาของพระองค์ เพื่อถ่ายทอดความเมตตากรุณา คือเท้าของพระองค์ เพื่อเดินเคียงข้างดวงวิญญาณที่อ่อนล้า คือมือของพระองค์ เพื่อช่วยแบกภาระหนักของเขา เราทำเช่นนี้เพื่อพระองค์ เพราะเราพยายามทำสิ่งที่พระองค์คงจะทำ ถ้าหากพระองค์อยู่ที่นี่ เรามีแบบอย่างชีวิตของพระเยซูในโลกบันทึกไว้แล้ว ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์รักเรามากเพียงใด เราผู้เป็นสิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์ เราทราบจากพระคัมภีร์ว่าพระองค์มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของพระองค์ ด้วยความเมตตากรุณา เราเห็นได้ว่าพระองค์มีส่วนร่วมมากเพียงใด เมื่อพระองค์พูดคุยเรื่องต่างๆ กับสาวก และผู้ที่พระองค์พูดคุยด้วย

ลองนึกย้อนกลับไป 2,000 ปี สักชั่วขณะ ถ้าหากทำได้ ลองจินตนาการว่าจะเป็นเช่นไร ถ้าได้พบพระเยซู ลองนึกดูว่าจะเป็นเช่นไร ถ้าได้สนทนากับพระองค์ ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า จินตนาการถึงความเข้าใจ ความเมตตากรุณา ความรัก คุณจับจุดได้หรือไม่ที่เห็นพระบุตรของพระเจ้า เห็นตัวแทนของพระเจ้า ในร่างมนุษย์ ได้ยินพระองค์พูด รับฟังพระองค์บอกเรื่องพระบิดา เรื่องโลกที่จะมาถึง เหตุผลที่เราถูกสร้าง และแผนการแสนวิเศษที่พระเจ้าวางไว้เพื่อมนุษยชาติ ช่างแสนวิเศษจริงๆ!

เรายังไม่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นเป็นส่วนตัว ถึงกระนั้นพระเยซูก็ไว้วางใจให้เรารับผิดชอบ ในการส่งต่อความรักเฉพาะตัวของพระองค์ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่ครอบคลุมทั่วทั้งโลก ให้แก่เพื่อนมนุษย์ผู้ที่อยู่ร่วมพิภพกับเรา ในทุกวันนี้ พระองค์ไว้วางใจให้เราเป็นตัวแทนของพระองค์

คุณคิดว่าพระเยซูมีปฏิสัมพันธ์เช่นไรกับเพื่อนบ้านของคุณ พระองค์จะปฏิบัติอย่างไรต่อเด็กน่าสงสารผู้สูญเสียพ่อแม่ พระองค์จะบอกกล่าวอะไรต่อดวงวิญญาณที่ดิ้นรนต่อสู้ หมดกำลังใจ และหลงทาง พระองค์จะบอกกล่าวอะไรกับเพื่อนร่วมงานผู้ทำให้คุณรำคาญใจ ผู้ที่คุณพยายามหลบหลีกไปให้พ้น

เมื่อเรานึกถึงพระเยซู วิสัยของพระองค์ ความรัก และการที่พระองค์เสียสละบนไม้กางเขนเพื่อเราแต่ละคน แล้วตอบคำถามเหล่านั้น เราก็คงรู้แน่แก่ใจว่าควรจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเช่นไร เราซึ่งเป็นผู้ติดตามของพระเยซู คือใบหน้าของพระองค์ คือรอยยิ้มและอ้อมแขนของพระองค์ พระเจ้าต้องใช้สอยเราให้เกิดประโยชน์ พระเยซูคาดหมายจากเรา จากผม จากคุณ จากเราแต่ละคน

ดังนั้นขอให้พยายามอย่างเต็มที่ ดีไหม ขอให้เราเป็นเหมือนพระเยซู ขอให้เรารักเหมือนพระเยซู ขอให้เราเปิดใจต่อผู้อื่น เพื่อพระเยซู ขอให้เราเป็นสื่อที่ชัดเจน เพื่อพระเจ้าจะได้เยียวยาและกอบกู้ชาวโลก ผู้ขัดสนและบอบช้ำ

ทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นวาจาและการกระทำ ขอให้เราทำเพื่อพระเยซู เพื่อสง่าราศีของพระองค์


[1] ยอห์น 13:15

[2] 1 ยอห์น 3:16-18

[3] มัทธิว 25:40

[4] 2 โครินธ์ 4:5

[5] 2 โครินธ์ 5:20

[6] ข้อความหยิบยกมาจาก Quote, Unquote (หนังสือ Victor Books ค.ศ. 1977) โดย ลอยด์ คอรี หน้า 197

[7] ข้อความหยิบยกมาจาก “ความรักเพื่อผู้หลงผิด” พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 (ฉบับดั้งเดิม พฤษภาคม ค.ศ.1976)

[8] ยอห์น 3:30

[9] Bread for the Journey Blog 26 มกราคม ค.ศ. 2011

[10] ผู้ประพันธ์นิรนาม คงมีพื้นฐานจากพระในคณะเยสุอิต คุณพ่อสตริคแลนด์ ค.ศ. 1863 เรียบเรียงใหม่โดยบุคคลสำคัญหลายคน รวมทั้งแฮรี ทรูแมน โรนัลด์ เรแกน และคนอื่นๆ

[11] 2 โครินธ์ 5:20

[12] ฟิลิปปี 2:7

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้