หัวใจสำคัญ: ตรีเอกานุภาพ (ตอนที่ 1)

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

พฤษภาคม 17, 2011

บทความสองเรื่องแรกในชุด หัวใจสำคัญ เราเห็นว่าพระคัมภีร์ใหม่เผยถึงสภาพพระเจ้าของพระเยซู และเผยว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า

เมื่ออ่านข้อพระคัมภีร์ที่เอ่ยอ้างไว้ในบทความดังกล่าว ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านอกเหนือจากพระเยซู คือพระเจ้าผู้เป็นพระบุตร ก็มีพระบิดา คือพระเจ้า เพราะพระเยซูอธิษฐานถึงพระบิดา และทำตามความประสงค์ของพระบิดา ฯลฯ พระคัมภีร์ยังกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าเช่นกัน

พระเจ้าองค์เดียวในสามท่าน

สำหรับคนที่ยังไม่เป็นสมาชิก ก็อาจได้รับความประทับใจว่าคริสเตียนเชื่อในพระเจ้าสามองค์ คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทว่าไม่ใช่เช่นนั้น คริสเตียนเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว หลักคำสอนที่อธิบายแง่คิดว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้าองค์เดียวกัน เรียกว่าหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ

หลักคำสอนนี้อธิบายว่าพระเจ้ามีสภาพเป็นสามท่านในองค์เดียวกันเสมอมา นี่แตกต่างอย่างมากจากมนุษย์ เพราะเรามีตัวตนเดียว เราเป็นหนึ่งเดียว พระเจ้ามีสามท่านในหนึ่งองค์ แต่ละท่านแตกต่างกันไป คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทว่าเป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะเป็นสามท่านในองค์เดียว แต่ละท่านก็เป็นพระเจ้าโดยสิ้นเชิง มีคุณสมบัติครบถ้วน และประกอบด้วยเอกลักษณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า (หากประสงค์ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติของพระเจ้า กรุณาดู หัวใจสำคัญ เรื่องธรรมชาติและวิสัยของพระเจ้า)

นักศาสนศาสตร์ หลุยส์ เบอร์คอฟ เขียนไว้ว่า คำว่า “บุคคล” เป็นคำที่บ่งบอกแนวคิดอย่างไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะในปัจจุบันหมายถึงรายบุคคลที่มีเหตุผลและหลักความประพฤติแตกต่างกันไป นักปรัชญาคริสเตียนชื่อ เคนเนธ แซมเปิล เห็นพ้องว่า “เราไม่ควรจะเข้าใจว่าสามท่านในตรีเอกานุภาพ เป็นสาม ‘ส่วน’ หรือ ‘เสี้ยว’ ของพระเจ้า แต่ละท่านมีสภาพพระเจ้าอย่างเต็มที่ และมีความเป็นพระเจ้าครบถ้วนเท่าเทียมกัน … คำว่า ‘บุคคล’ เมื่ออ้างอิงถึงตรีเอกานุภาพ นำมาใช้ในลักษณะที่พิเศษไม่เหมือนใคร และไม่ควรจะเข้าใจว่าอ้างอิงถึงตัวตนหรือบุคคลที่แยกกัน เพราะนี่จะแบ่งแยกเอกลักษณ์ของพระเจ้า”[1]

ประสบการณ์ของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ ก็คือ เมื่อมีบุคคลหนึ่ง ก็มีเอกลักษณ์ของรายบุคคลอย่างชัดเจน ทุกคนที่เรารู้จักมีตัวตนที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นธรรมชาติเฉพาะตัวของมนุษย์ ทว่าในพระเจ้าไม่มีรายบุคคลสามคนเคียงข้างกัน และแยกจากกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียว มีเอกลักษณ์เดียว แต่มีความเด่นชัดอยู่ในตัว เป็นสามท่าน

ในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ สภาพของพระเจ้า คือสามท่านที่เด่นชัด ซึ่งมีสื่อสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ท่านสื่อสารและเชื่อมสัมพันธ์กัน ในข้อพระคัมภีร์ เราเห็นว่าพระบิดาเอ่ยถึงพระบุตรว่าท่าน

ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก[2]

นอกจากนี้พระบุตรก็กล่าวถึงพระบิดาว่า พระองค์ และชี้ให้เห็นการสื่อสารระหว่างทั้งสองท่าน

เพราะพระบิดาได้ทรงรักพระบุตร และได้สำแดงให้พระบุตรนั้นเห็นสิ่งสารพัตร ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ[3]

มีตัวอย่างการที่พระบุตรเรียกตัวเองว่า เรา และแยกแยะตัวเองจากทั้งพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์

แต่เมื่อพระองค์ผู้ช่วย ที่เราจะใช้มาหาท่านจากพระบิดา คือพระวิญญาณแห่งความจริง ที่มาจากความจริงนั้นมาแล้ว พระองค์นั้นจะเป็นพยานถึงเรา[4]

ฉะนั้นพระเจ้า ผู้มีสามท่านในองค์เดียวกัน เชื่อมสัมพันธ์และมีสื่อสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัว ระหว่างท่านทั้งสาม ภายในสภาพของพระเจ้า

ผมชอบเป็นพิเศษที่นักปรัชญาคริสเตียนและผู้ประพันธ์ ชื่อ วิลเลียม เลน เคร๊ก อธิบายถึงตรีเอกานุภาพไว้ ในบทบรรยายหนึ่ง ว่า

เช่นเดียวกับผม ผู้มีตัวตน เป็นศูนย์กลางหนึ่งในความสำนึกของตัวเอง ซึ่งเรียกว่าผมหรือฉัน พระเจ้าคือตัวตนที่เป็นสามศูนย์กลางในความสำนึกของตนเอง พระเจ้าคือตัวตนที่มีศูนย์กลางสำนึกในตัวเองสามศูนย์กลาง คือมีตัวตนสามท่าน ฉะนั้นตัวตนของพระเจ้าจึงเป็นสามท่าน[5]

แง่คิดเรื่องงสามท่านในพระเจ้าองค์เดียว ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์เดิม ถึงแม้ว่ามีข้อพระคัมภีร์เดิมที่ให้ความเห็นว่ามีมากกว่าหนึ่งท่านในพระเจ้า ความเข้าใจเรื่องสามท่านในพระเจ้าองค์เดียว มีความชัดเจนยิ่งขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่ เนื่องจากชีวิต ความตาย และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู รวมทั้งการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทุ่มเทพลังให้แก่ผู้มีความเชื่อ ผู้ติดตามของพระเยซูจึงมีความเข้าใจว่าพระองค์คือพระเจ้า ทว่าแตกต่างจากพระบิดา และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้าเช่นกัน ทว่าแตกต่างจากพระบิดาและพระบุตร ดังนั้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ ความจริงเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพจึงคลี่คลายและเผยให้ประจักษ์ชัด

การพัฒนาและบ่งบอกให้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงหลักคำสอนนี้ สืบต่อกันมาในประวัติความเป็นมาของผู้มีความเชื่อสมัยแรกๆ และจะอธิบายอย่างละเอียดมากขึ้นในบทความต่อไปของหัวข้อนี้ ถึงแม้คำว่า ตรีเอกานุภาพ จะไม่มีอยู่ในเนื้อหาของพระคัมภีร์ ข้อพระคัมภีร์ก็เผยถึงหลักคำสอนนี้ และคำว่า ตรีเอกานุภาพ ถ่ายทอดไว้เป็นแง่คิด

แง่คิดเรื่องตรีเอกานุภาพในพระคัมภีร์เดิม

ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์เดิมไม่ได้เผยว่าพระเจ้ามีสามสภาพ ข้อความบางตอนในพระคัมภีร์เดิมเอ่ยไว้ในลักษณะที่เสนอแนะว่าพระเจ้ามีมากกว่าหนึ่งท่าน

พระเจ้าตรัสว่า “ให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา”[6]

พระเยโฮวาห์พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด มนุษย์กลายเป็นเหมือนหนึ่งในพวกเรา ที่รู้จักความดีและความชั่ว”[7]

“มาเถิด ให้พวกเราลงไปและทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายที่นั่น เพื่อไม่ให้พวกเขาพูดเข้าใจกันได้”[8]

ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนพวกเรา”[9]

ในข้อพระคัมภีร์ถัดไป มาจากพระคัมภีร์เดิมเช่นกัน ผู้กล่าวคือพระเจ้าพระบิดา หรือพระเจ้าพระบุตร พระองค์กล่าวอ้างอิงถึงกัน หรืออ้างอิงถึงพระวิญญาณ ซึ่งเอ่ยถึงบุคคลต่างๆในพระเป็นเจ้านั่นเอง

ใครเล่าได้ขึ้นไปยังสวรรค์หรือลงมา ใครเล่าได้รวบรวมลมไว้ในกำมือของท่าน ใครเล่าได้เอาเครื่องแต่งกายห่อห้วงน้ำไว้ ใครเล่าได้สถาปนาที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลกไว้ นามของผู้นั้นว่ากระไร และนามบุตรชายของผู้นั้นว่ากระไร ถ้าท่านบอกได้[10]

คารวะพระบุตรเถิด เกลือกว่าพระองค์จะทรงพิโรธ และเจ้าต้องพินาศจากทางนั้น เพราะพระพิโรธของพระองค์นั้นจุดให้ลุกได้รวดเร็ว ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้วางใจในพระองค์[11]

“เข้ามาใกล้เรา ฟังเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นเรามิได้พูดในที่ลับ ตั้งแต่แรกเริ่ม เราก็อยู่ที่นั่นแล้ว” บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าและพระวิญญาณของพระองค์ ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา[12]

พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระเยโฮวาห์ได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวประเสริฐต่อผู้ที่ถ่อมใจ[13]

ข้อพระคัมภีร์ที่ยอดเยี่ยมข้อหนึ่ง จากหนังสือทอราห์ คือหนังสือห้าเล่มของโมเสส ได้แก่หนังสือห้าเล่มแรกในพระคัมภีร์เดิมของคริสเตียน ซึ่งเป็นพื้นฐานของลัทธิยูดาย

ชาวอิสราเอล ฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเป็นพระเยโฮวาห์องค์เดียว[14]

ลัทธิยูดายเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ความเชื่อนี้เป็นลักษณะพิเศษสุดต่อชาวอิสราเอล ในสมัยพระคัมภีร์เอิม เพราะทุกวัฒนธรรมในแถบนั้นนับถือพระเจ้าหลายองค์ รวมทั้งประเทศข้างเคียงทุกประเทศของอิสราเอล ตลอดประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยพระคริสต์

คริสตศาสนาก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวเช่นกัน คริสเตียนเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และสนับสนุนข้อพระคัมภีร์เดียวกันนี้ “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเป็นพระเยโฮวาห์องค์เดียว” อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนลัทธิยูดาย คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าที่มีสามสภาพ สามท่านในองค์เดียว

ออกัสตินกับตรรกวิทยาเรื่องตรีเอกานุภาพ

ออกัสติน (ค.ศ.354-430) เป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในคริสตศาสนา ในจักรวรรดิโรมันตะวันตก ถือกันว่าท่านเป็นนักเขียนคริสเตียนคนสำคัญที่สุด ถัดจากอัครสาวกเปาโล ท่านสรุปเหตุผลพื้นฐานเรื่องตรีเอกานุภาพไว้ในถ้อยแถลงสั้นๆเจ็ดประการ ได้แก่

1. พระบิดาคือพระเจ้า
2. พระบุตรคือพระเจ้า
3. พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้า
4. พระบิดาไม่ใช่พระบุตร
5. พระบุตรไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์
6. พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระบิดา
7. มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว

ถ้อยแถลงสามข้อแรกบ่งบอกว่าสมาชิกแต่ละคนในตรีเอกานุภาพคือพระเจ้า ถ้อยแถลงสามข้อถัดมายืนยันว่าแต่ละองค์ในตรีเอกานุภาพ แตกต่างจากกัน ถ้อยแถลงสุดท้ายป่าวประกาศว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว

ถึงแม้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้คงยากที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ถ้าเราก่อร่างจากพื้นฐานถ้อยแถลงเจ็ดข้อของออกัสติน ก็เห็นได้ชัดว่าพระคัมภีร์ปูพื้นฐานสำหรับตรีเอกานุภาพเอาไว้แล้ว ว่ามีสามท่านด้วยกัน เป็นพระเจ้าองค์เดียว

พระบิดาคือพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บ่งบอกว่าพระบิดาคือพระเจ้า

พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าฯ พระเจ้าของข้าฯ และเป็นศิลาแห่งความรอดของข้าฯ[15]

ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดา และพระผู้ไถ่ของข้าฯทั้งหลาย พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาล[16]

เหตุฉะนั้นท่านจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาของข้าฯทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ[17]

พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในท่านทั้งปวง[18]

พระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระเจ้าพระบิดา เมื่อพระสุรเสียงจากสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ ตรัสแก่พระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก”[19]

ยอห์นบทที่ 17 เป็นคำอธิษฐานที่พระเยซูกล่าวต่อพระบิดา ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ถือว่าพระบิดาเป็นพระเจ้า

พระบุตรคือพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บ่งบอกว่าพระเยซูคือพระเจ้า

เมื่อเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า เมื่อเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมา นอกเหนือพระองค์[20]

พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮามบังเกิดมานั้น เราเป็นอยู่”[21]

พระองค์[พระเยซู/พระบุตร]ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าโดยพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นที่เริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง ด้วยว่าเป็นที่ชอบพระทัยพระบิดา ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นมีอยู่ในพระองค์ และโดยพระองค์นั้นให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระองค์เอง โดยพระองค์นั้นข้าพเจ้าพูดได้ว่า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในแผ่นดินโลกหรือในท้องฟ้า พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพ โดยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์[22]

เพราะว่าในพระองค์นั้นสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์[23]

ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษ ผ่านพวกศาสดาพยากรณ์ แต่ในวันสุดท้ายเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลาย ผ่านพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้ โดยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระบุตรได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ได้ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงเดชานุภาพเบื้องบน[24]

ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าในเวลาใดเลย พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา ผู้ทรงสถิตในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว[25]

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บ่งบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้า

ในหนังสือกิจการ เปโตรกล่าวว่าการโกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการโกหกต่อพระเจ้า

ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์ แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”[26]

เพลงสดุดี 139 บ่งให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง พระเจ้าผู้เดียวที่ทำเช่นนั้นได้

ข้าฯจะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าฯจะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ ถ้าข้าฯขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าฯจะทำที่นอนไว้ในนรก ดูเถิด พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าฯจะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น หัตถ์ของพระองค์จะนำข้าฯ และหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าฯไว้”[27]

1 โครินธ์ 2 บ่งบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นคุณสมบัติของพระเจ้าเท่านั้น

พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เรา ผ่านพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น[28]

ข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวแถลงว่ามนุษย์คือผู้เดียวที่ล่วงรู้ความเป็นไปในความคิดจิตใจของตน ความคิดในส่วนลึกมีตนเท่านั้นที่รู้ฉันใด ในทำนองเดียวกัน ความนึกคิดส่วนลึกของพระเจ้า ก็ล่วงรู้แต่พระเจ้าผู้เดียว ฉะนั้นจึงบ่งให้เห็นว่าพระวิญญาณของพระเจ้าคือพระเจ้า เนื่องจากว่าพระวิญญาณของพระเจ้าหยั่งรู้ถึงความนึกคิดของพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บ่งให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มีอยู่แล้ว ก่อนการสร้างสรรค์โลก และมีบทบาทในลักษณะเดียวกัน

แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น[29]

ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้บ่งบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ดำเนินงานร่วมกับพระเยซู ในชีวิตเรา ในฐานะคริสเตียน

ท่านได้รับการชำระล้าง และได้ทรงแยกท่านไว้แล้ว พระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเราได้ทรงตั้งท่านให้เป็นผู้ชอบธรรม ในพระนามของพระเยซูเจ้า[30]

พระเยซูบอกสาวกของพระองค์ว่า

แต่พระองค์ผู้ชี้นำทาง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา พระองค์นั้นจะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว[31]

บุคคลที่แตกต่างกันสามองค์

ใน 2 โครินธ์ เปาโล ระบุถึงสามองค์ในตรีเอกานุภาพไว้ ในลักษณะที่บ่งบอกว่าแตกต่างจากกัน

ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านเถิด [32]

ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ บัญชาให้สาวกรับบัพติศมา ในนามของตรีเอกานุภาพแต่ละองค์ ซึ่งบ่งบอกว่าพระองค์เล็งเห็นว่าทั้งสามองค์เท่าเทียมกัน ทุกองค์คือพระเจ้า

เหตุฉะนั้น ท่านจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์[33]

คุณลักษณะที่พระคัมภีร์ใหม่อ้างอิงถึงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ บ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแตกต่างจากกัน และสื่อสัมพันธ์กันในแง่ที่บ่งบอกว่าไม่ใช่องค์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น พระเยซูขอพระบิดาให้ส่งพระวิญณาณมา ซึ่งบ่งบอกถึงสามองค์ที่แตกต่างกัน และมีสื่อสัมพันธ์กัน

เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง[34]

พระบิดาได้ทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา และไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตร และผู้ใดก็ตามที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้[35]

เมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ ดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมา ดุจนกเขา และสถิตอยู่บนพระองค์ ดูเถิด มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”[36]

สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ เพราะพระเยซูยังมิได้รับสง่าราศี[37]

ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แตกต่างจากกันและกัน

พระเจ้าองค์เดียว

ถ้อยแถลงข้อสุดท้ายของออกัสตินก็คือ “มีพระเจ้าองค์เดียว”

ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ รวมทั้งพระเยซู ได้ยืนยันว่ามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

มีธรรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกัน และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งปวง” พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “พระบัญญัติซึ่งเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า ชาวอิสราเอล ฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทั้งหลาย คือองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว’”[38]

เพื่อบรรดาชนชาติแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่าพระเยโฮวาห์นั้นเป็นพระเจ้า ไม่มีองค์อื่นเลย[39]

เราเป็นพระเยโฮวาห์ ไม่มีผู้อื่นใดอีก นอกจากเรา ไม่มีพระเจ้า[40]

นอกจากเราไม่มีพระเจ้าอื่นเลย พระเจ้าผู้ชอบธรรม และพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีผู้อื่นใด นอกเหนือเรา ... หันมาหาเรา และรับการช่วยให้รอด เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีผู้อื่นใดอีก[41]

หรือว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นพระเจ้าของยิวพวกเดียวเท่านั้นหรือ พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของชนต่างชาติด้วยหรือ ถูกแล้วพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของชนต่างชาติด้วย เพราะว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์จะทรงโปรดให้คนที่เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ และจะทรงโปรดให้คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเป็นคนชอบธรรม ก็เพราะความเชื่อดุจกัน[42]

ฉะนั้นเรื่องการกินอาหารที่เขาได้บูชาแก่รูปเคารพนั้น เรารู้อยู่แล้วว่ารูปนั้นไม่มีตัวมีตนเลยในโลก และพระเจ้าองค์อื่นไม่มี มีแต่พระเจ้าองค์เดียว[43]

ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นกัน และกลัวจนตัวสั่น[44]

ถ้อยแถลงของออกัสติน ซึ่งมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์ บ่งชัดว่าพระเจ้ามีสามองค์ ได้แก่พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งแตกต่างจากกัน และมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

ถึงแม้ว่าถ้อยแถลงของท่านอาจอธิบายถึงเหตุผลพื้นฐานเรื่องตรีเอกานุภาพ ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่เข้าใจนัก อันที่จริงแล้ว แง่คิดเรื่องพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้าองค์เดียว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเรามนุษย์จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นเช่นนั้น นี่เหนือล้ำประสบการณ์ของเรา ซึ่งอาจทำให้เราอึกอัก แต่ก็สอดคล้องกับความเชื่อของเราด้วย ว่ามีพระเจ้าคือพระผู้สร้างอยู่จริง ผู้ทรงพลังทั้งสิ้น และล่วงรู้ทุกสิ่ง เมื่อพระองค์เผยตัวต่อเรา ก็มีเหตุผลว่าการที่จะเข้าใจบางแง่มุมของพระองค์ อาจเหนือล้ำประสบการณ์และความเข้าใจตามประสามนุษย์ ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกว่าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็อย่าวิตกกังวล ข้อสำคัญก็คือให้ทราบว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีสามท่านในพระเจ้า คือ พระเจ้ารักคุณ และพระเยซูพลีชีพเพื่อความรอดของคุณ และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับคุณ เพื่อคอยเป็นผู้ช่วยและผู้ปลอบโยน

เมื่อเอ่ยถึงตรีเอกานุภาพ นักศาสนศาสตร์ เอ. ดับบลิว. โทเซอร์ แถลงว่า “หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ ... คือความจริงทางจิตใจ ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจอธิบายให้เป็นที่พอใจได้ แทนที่จะต่อต้าน ก็ขอให้เห็นชอบ เพราะความจริงเช่นนั้นต้องมีผู้เผยให้เห็น ไม่มีใครจินตนาการได้”[45]

อัครสาวกและเหล่าสาวก ซึ่งล้วนแต่เป็นชาวยิว ต่างก็มีความเชื่อมาตลอดชีวิตว่ามีพระเจ้าองค์เดียว ถ้าหากเชื่อว่าเป็นอย่างอื่น ก็ถือว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนา หลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนชีพ เขาต่างก็เกิดความเข้าใจ ว่าบุรุษผู้ที่เขารู้จักและใช้ชีวิตด้วยท่านนี้ คือพระเจ้า เขาทราบว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา แต่พระองค์เป็นพระเจ้า เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และสัญญาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงพลังจะมาสู่ชีวิตของเขา ในวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาเหล่านี้เกิดความเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้า แต่เขาก็ทราบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระบิดา และไม่ใช่พระบุตร

ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่เข้าใจ ยอมรับ และเขียนไว้ว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีบุคคลที่แตกต่างกันอยู่ในพระเป็นเจ้า เหล่าผู้มีความเชื่อยุคแรก และคริสเตียนในปัจจุบันก็เชื่อเช่นนั้น นี่คือหัวใจสำคัญในความศรัทธาของเรา

ตอนต่อไปในเรื่องชุดนี่จะครอบคลุมแง่มุมอื่นๆเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ


ชีวประวัติ

คาร์ล บาร์ธ หนังสือ The Doctrine of the Word of God ฉบับที่ 1 ตอนที่ 2 สำนักพิมพ์ Peabody: Hendrickson Publisher ปี ค.ศ.2010

หลุยส์ เบอร์คอฟ หนังสือ Systematic Theology สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Wm. B. Eerdmans Publishing Company ปี ค.ศ.1996

ฟิลลิป แครี คำบรรยายชุด The History of Christian Theology  คำบรรยายที่ 11,12 สำนักพิมพ์ Chantilly: The Teaching Company ปี ค.ศ.2008

วิลเลียม เลน เคร็ก หนังสือ The Doctrine of the Trinity คำบรรยายชุด Defenders Series Lecture http://www.reasonablefaith.org/site/PageServer?pagename=podcasting_main

เจมส์ ลีโอ การ์เร็ต จูเนียร์ หนังสือ Systematic Theology, Biblical, Historical and Evangelical ฉบับที่ 1 สำนักพิมพ์ N. Richland Hills: BIBAL Press ปี ค.ศ.2000

เวน กรูเดม หนังสือ Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrine สำนักพิมพ์ Grand Rapids: InterVarsity Press ปี ค.ศ.2000

ปีเตอร์ ครีฟท์ และ โรนัลด์ เค. ทาเซลลี หนังสือ Handbook of Christian Apologetics สำนักงาน Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.1994

กอร์ดอน อาร์. ลูวิส และ บรูซ เอ. เดมาเรสต์ หนังสือ Intergrative Theology สำนักงาน Grand Rapids: Zondervan ปี ค.ศ.1996

บรูซ มิลเน่ หนังสือ Know the Truth, A Handbook of Christian Belief  สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.2009

จอห์น ธีโอดอร์ มูลเลอร์ หนังสือ Christian Dogmatics, A Handbook of Doctrinal Theology for Pastors, Teachers, and Laymen สำนักพิมพ์ St. Louis: Concordia Publishing House ปี ค.ศ.1934

ลุดวิก อ็อต หนังสือ Fundamentals of Catholic Dogma  สำนักพิมพ์ Rockford: Tan Books and Publishers Inc. ปี ค.ศ.1960

จอห์น สก็อต หนังสือ Basic Christianity  สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.1971

เจ. ร็อดแมน วิลเลียม หนังสือ Renewal Theology, Systematic Theology from a Charismatic Perspective  สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan ปี ค.ศ.1996


[1] เคนเนธ แซมเปิล หนังสือ What the Trinity Is and Isn’t –Part 1 ปี ค.ศ. 2007

[2] มาระโก 1:11

[3] ยอห์น 5:20

[4] ยอห์น 15:26

[5] วิลเลียม เลน เคร๊ก The Doctrine of the Trinity 1 ในคำบรรยายชุด Defenders Series Lecture

[6] ปฐมกาล 1:26

[7] ปฐมกาล 3:22

[8] ปฐมกาล 11:7

[9] อิสยาห์ 6:8

[10] สุภาษิต 30:4

[11] เพลงสดุดี 2:12

[12] อิสยาห์ 48:16

[13] อิสยาห์ 61:1

[14] พระราชบัญญัติ 6:4

[15] เพลงสดุดี 89:26

[16] อิสยาห์ 63:16

[17] มัทธิว 6:9

[18] เอเฟซัส 4:6

[19] 2 เปโตร 1:17

[20] ยอห์น 1:1-3

[21] ยอห์น 8:58

[22] โคโลสี 1:15-20

[23] โคโลสี 2:9

[24] ฮีบรู 1:1-3

[25] ยอห์น 1:18

[26] กิจการ 5:3-4

[27] เพลงสดุดี 139:7-10

[28] 1 โครินธ์ 2:10-11

[29] ปฐมกาล 1:2

[30] 1 โครินธ์ 6:11

[31] ยอห์น 14:26

[32] 2 โครินธ์ 13:14

[33] มัทธิว 28:19

[34] ยอห์น 14:16-17

[35] มัทธิว 11:27

[36] มัทธิว 3:16-17

[37] ยอห์น 7:39

[38] มาระโก 12:28-29

[39] 1 พงศ์กษัตริย์ 8:60

[40] อิสยาห์ 45:5

[41] อิสยาห์ 45:21-22

[42] โรม 3:29-30

[43] 1 โครินธ์ 8:4

[44] ยากอบ 2:19

[45] โทเซอร์ เอ. ดับบลิว. หนังสือ The Knowledge of the Holy สำนักพิมพ์ NY: HarperCollins ปี ค.ศ. 1961 หน้า 18

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้