หัวใจสำคัญ: ตรีเอกานุภาพ (ตอนที่ 2)

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

พฤษภาคม 24, 2011

ในเรื่อง หัวใจสำคัญ: ตรีเอกานุภาพ ตอนที่ 1 เราเห็นแล้วว่าพระเจ้ามีสภาพเป็นสามท่าน ประกอบด้วยสามท่านที่แตกต่างกัน ได้แก่ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ละท่านเป็นพระเจ้าครบถ้วน แต่ละท่านมีคุณสมบัติของพระเจ้า และมีพระเจ้าองค์เดียว

ข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งบอกถึงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ ในคำอธิบายถึงเรื่องใดๆเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ ถ้าหากแง่ใดแง่หนึ่งไม่ได้รับการยืนยัน ก็ถือว่าหลักคำสอนนี้ได้รับการปฏิเสธ

ในบทความนี้ ผมจะเน้นเรื่องประวัติความเป็นมาของหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ ว่ามีคำจำกัดความ เป็นที่เข้าใจ และบ่งบอกให้ชัดเจนอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณไม่ต้องเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดเรื่องตรีเอกานุภาพ แต่ก็ช่วยได้ที่จะเข้าใจดีขึ้นถึงความเป็นมาในการที่คริสเตียนสมัยแรกๆให้คำจำกัดความเรื่องธรรมชาติของตรีเอกานุภาพ การเข้าใจผิดและปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากความไม่เข้าใจเรื่องตรีเอกานุภาพอย่างถ่องแท้ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องให้คำจำกัดความและบ่งบอกอย่างชัดเจนสำหรับผู้มีความเชื่อทุกคน โดยทั่วไปแล้วข้อสรุปที่ออกมาเป็นที่ยอมรับต่อคริสเตียนทุกคน ว่าเป็นหลักคำสอนพื้นฐาน

บรรพบุรุษผู้มีความเชื่อสมัยแรกๆ

ในช่วง “ยุคอัครสาวก” หลังจากที่พระเยซูสิ้นชีวิตและฟื้นคืนชีพ เรื่อยไปจนถึงสิ้นสุดศตวรรษที่หนึ่ง ตอนที่อัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ และช่วงที่มีการเขียนพระคัมภีร์ใหม่ ตอนนั้นผู้มีความเชื่อเน้นการกระจายข่าวสารเรื่องความรอด การชนะใจผู้มีความเชื่อ และการก่อร่างสร้างหมู่คณะผู้มีความศรัทธา เมื่อวันเวลาผ่านไป อัครสาวกรุ่นแรกเสียชีวิต ไม่มีผู้ที่เป็นประจักษ์พยานถึงชีวิตและหน้าที่การงานของพระเยซูหลงเหลืออยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ว่า อัครสาวกและผู้คนที่หันมามีความเชื่อ ฝากข้อเขียนไว้ ซึ่งยังคงมีอยู่ในพระกิตติคุณและสารต่างๆ แน่นอนว่าอัครสาวกมีเหล่าสาวกซึ่งได้รับการฝึกอบรมในความศรัทธา ผู้ซึ่งถ่ายทอดความศรัทธาให้แก่คนอื่นต่อไป และก่อร่างสร้างหมู่คณะ กลุ่มผู้มีความเชื่อสมัยแรกๆเติบโตอย่างมหาศาล ในช่วงศตวรรษที่สองและสาม

ในช่วงหลายศตวรรษหลังจากที่อัครสาวกสิ้นชีวิต มี “บรรพบุรุษผู้มีความเชื่อ” จำนวนมาก อาทิเช่น บิช้อพ และอาจารย์คริสเตียนคนสำคัญๆ ซึ่งเขียนถึงความศรัทธา พยายามอธิบายเพิ่มเติม ตีความหมายข้อความในพระกิตติคุณและสารต่างๆ เรื่องราวในพระกิตติคุณและสารต่างๆ รวมทั้งข้อเขียนของชาวยิว ซึ่งปัจจุบันในคริสตศาสนาเรียกกันว่า พระคัมภีร์เดิม มีหลักคำสอนต่างๆของคริสเตียน รวมไปถึงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ อย่างไรก็ตาม ดังที่คุณได้เห็น คำว่า ตรีเอกานุภาพ และคำอธิบายที่แน่ชัดเรื่องตรีเอกานุภาพ ไม่มีบ่งบอกไว้ชัดเจนในพระคัมภีร์ใหม่ คำอธิบายถึงตรีเอกานุภาพได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นข้อเขียนต่อเนื่องจากพระคัมภีร์ใหม่

บุคคลในสมัยแรกๆท่านหนึ่งที่ใช้คำว่า ตรีเอกานุภาพ เมื่อพยายามกำหนดหลักคำสอนขึ้นมา คือบรรพบุรุษของผู้มีความเชื่อ นามว่า เทอร์ทุลเลียน (ประมาณ 155-230 ก่อน ค.ศ.) คำอธิบายของเขาบ่งบอกถึงหลักพื้นฐานสำคัญบางประการของหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ ทว่าไม่ถูกต้องทุกประการ บรรพบุรุษผู้มีความเชื่ออีกท่านหนึ่งคือ โอริเจน (ประมาณ 185-254 ก่อน ค.ศ.) ได้มอบคำอธิบายเพิ่มเติมถึงหลักคำสอนดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้บ่งบอกไว้ชัดเจนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนท่านแรกๆเหล่านี้เขียนไว้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับหลักคำสอนดังกล่าว ซึ่งในที่สุดก็เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางอย่างเป็นทางการ

ความนอกรีตและการตีความหมายหลักคำสอนผิด

ในศตวรรษที่สามและสี่ อาจารย์และนักเขียนคริสเตียนต่างๆ ก่อร่างสร้างขึ้นจากคำอธิบายช่วงแรกๆ โดยที่ข้อเขียนอธิบายเรื่องตรีเอกานุภาพ ปัญหาเกี่ยวกับคำอธิบายบางส่วนก็คือ บ่อยครั้งเป็นการยืนยันหลักคำสอนแง่มุมเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คัดค้านอีกแง่มุมหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมีสามประการ ได้แก่

ตัวอย่างแรกๆประการหนึ่งก็คือ การสอนว่ามีพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งมี สภาพต่างๆ หรือรับบทบาทต่างๆ บางครั้งพระองค์เป็นพระบิดา บางครั้งเป็นพระบุตร บางครั้งเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่รู้จักกันว่า Sabellianism ตามชื่อของ Sabellius ผู้ซึ่งสอนเรื่องนี้ในศตวรรษที่สาม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า modalism มากกว่า ถึงแม้ว่าคำสอนนี้ยืนยันอย่างแข็งขันว่ามีพระเจ้าองค์เดียว แต่ก็ปฏิเสธว่ามีสามท่านในพระเจ้า ในที่สุดวงการโบสถ์ก็ประณาม Modalism ว่าเป็นหลักคำสอนผิด (นอกรีต)

อีกคำสอนหนึ่งคือ subordinationism อ้างว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้อมตะ แต่ไม่เท่าเทียมกับพระบิดา แต่อ้างว่าพระองค์เป็นรองจากพระบิดา ถ้าเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า เพราะถ้าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็ต้องเท่าเทียมกับพระเจ้า วงการโบสถ์ปฏิเสธหลักการ Subordinationism เช่นกัน

Arianism

Arius (ประมาณ 256-336 ก่อน ค.ศ.) ท่านเป็นบิช้อพที่อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ท่านสอนว่าพระบุตรคือผู้ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่ใช่มีตัวตนอยู่แล้ว เอเรียสสอนว่าพระบุตรถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาก่อนอะไรทั้งสิ้น นี่หมายความว่าพระบุตรยิ่งใหญ่กว่าสิ่งสร้างสรรค์ทั้งปวง ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นสิ่งสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นอมตะ ฉะนั้นจึงไม่เท่าเทียมกับพระบิดา พระองค์ไม่มีสภาพหรือแก่นแท้เช่นเดียวกับพระบิดา ในอีกแง่หนึ่งก็คือ พระบุตรเป็นเหมือนพระบิดา แต่ไม่เท่าเทียมกับพระบิดา หลักคำสอนนี้เรียกว่า Arianism ซึ่งยืนยันว่ามีสามท่านในตรีเอกานุภาพ แต่ปฏิเสธว่าทั้งสามท่านเป็นพระเจ้า หรือมีคุณสมบัติของพระเจ้าทุกท่าน

หลักคำสอนนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเอเรียสนำหลักคำสอนของเขามาแต่งเป็นเพลง และสอนให้คนงานที่ท่าเรือเมืองอเล็กซานเดรียร้อง ซึ่งสอนต่อให้เหล่ากะลาสีเรือ และสอนต่อๆกันไป ตามท่าเรือต่างๆในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เอเรียสวางทฤษฎีของเขาไว้บนพื้นฐานข้อพระคัมภีร์ที่เรียกพระเยซูว่า พระบุตรองค์เดียว รวมทั้งในโคโลสี 1:15 “พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นพระบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง” เอเรียสสอนไว้ว่าถ้าพระบุตรประสูติ ก็หมายความว่ามีจุดเริ่มต้น เนื่องจากมีการถือกำเนิดมา ฉะนั้นเขาจึงสอนว่าพระบุตรไม่มีตัวตนมาก่อน

“พระบุตรหัวปีของสรรพสิ่งทั้งปวง” ในโคโลสี 1:15 ซึ่งเข้าใจกันว่าพระคริสต์เป็นผู้สืบทอดสรรพสิ่งทั้งปวง พระองค์มีสิทธิและอำนาจหน้าที่ซึ่งมอบให้แก่บุตรคนหัวปี พระองค์เป็นหัวหน้าหรือผู้นำครอบครัว คำแปลในพระคัมภีร์ฉบับ NIV มีใจความว่า “พระบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง”

ส่วนเรื่อง “พระบุตรผู้กำเนิดมา” จึงหมายความว่าพระเยซูถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา หรือไม่ได้เป็นอมตะร่วมกับพระบิดา เป็นข้อโต้แย้งอย่างยิ่ง ระหว่างบิช้อพจำนวนมากในวงการโบสถ์สมัยนั้น

บทสรุปของคณะที่ปรึกษานีเซีย

ในปี ค.ศ.325 จักรพรรดิโรม คอนสแตนทีน จัดให้มีการประชุมสมานฉันท์ครั้งแรกในเมืองนีเซีย (ปัจจุบันคือตุรกี) มีบิช้อพประมาณ 300 คน เข้าร่วมประชุม วัตถุประสงค์ของคณะที่ปรึกษาโบสถ์ครั้งแรกก็คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับคำสอนของเอเรียส ที่ประชุมคณะที่ปรึกษากล่าวประณาม Arianism ว่าเป็นหลักคำสอนผิด ฉะนั้นจึงเป็นคำสอนนอกรีต เพราะถ้าพระเยซูเป็นสิ่งสร้างสรรค์ของพระเจ้า เมื่อนั้นพระองค์ก็ไม่อาจเป็นพระเจ้า ถ้าเป็นจริง ก็คงไม่มีตรีเอกานุภาพ อย่างไรก็ตาม ในพระคัมภีร์บ่งไว้ชัดเจนว่ามีตรีเอกานุภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดจากข้อความในพระคัมภีร์ ว่ามีตรีเอกานุภาพ ฉะนั้น Arianism จึงเป็นหลักคำสอนเท็จ จากกระบวนการประณาม Arianism เขาตระหนักว่าต้องหาถ้อยคำมายืนยันว่าพระบุตรคือพระเจ้า เท่าเทียม และเป็นอมตะ ร่วมกับพระบิดา นอกจากนี้เขาต้องบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงข้อแตกต่างระหว่างพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

ความท้าทายในงานนี้ก็คือ ไม่มีข้อพระคัมภีร์ใดที่บ่งบอกเฉพาะเจาะจงว่าพระเยซูเท่าเทียมกับพระเจ้า หรือเป็นอมตะร่วมกับพระบิดา อย่างไรก็ตาม มีข้อพระคัมภีร์มากมาย ซึ่งเผยว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ละท่านเป็นพระเจ้า มีข้อพระคัมภีร์ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพระคำ (Logos/พระเยซู) เป็นมนุษย์ และพระคำเดียวกันนั้นเป็นพระเจ้า พระองค์สถิตอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มแรก ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นมาจากพระองค์ ถ้าปราศจากพระองค์ ก็ไม่มีสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมา[1] ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่บ่งบอกว่าพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้า เท่าเทียมกับพระบิดา จากข้อเขียนดังกล่าว ถึงแม้ว่าไม่ได้เขียนไว้ตามนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นเหล่าบิช้อพในคณะที่ปรึกษา ต้องหาถ้อยคำมาบ่งบอกในภาษาทางเทคนิค เกี่ยวกับแง่คิดที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ถึงแม้ว่าไม่ได้ผ่านขั้นตอนทางศาสนศาสตร์ นับตั้งแต่เริ่มแรกมีคริสตศาสนา เขาบ่งบอกถ้อยคำดังกล่าวในประกาศที่เรียกว่า คำประกาศแห่งนีเซีย

ในคำประกาศนี้ เขาอธิบายไว้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงความมุ่งหมายของคำว่าบังเกิด มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่แถลงหรือเป็นนัยว่าพระเยซู พระบุตร คือพระเจ้า รวมไปถึงข้อพระคัมภีร์ซึ่งแถลงว่าพระเยซูมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ คณะที่ปรึกษากำหนดว่าอะไรก็ตามซึ่งเดิมทีผู้เขียนใช้คำว่า “บังเกิด” ไม่ได้หมายถึง “สร้างสรรค์” จุดมุ่งหมายของคำว่าบังเกิด บ่งบอกว่าพระบุตรมีแก่นแท้เดียวกันกับพระบิดา มีข้อแตกต่างระหว่างการสร้างสรรค์บางสิ่ง และบังเกิดบางสิ่ง[2]

การสร้างสรรค์บ่งบอกถึงการสร้างอะไรบางสิ่งที่แตกต่างไปจากตัวเอง ทว่าบังเกิดบ่งบอกถึงแก่นแท้หรือเลือดเนื้อเดียวกัน ฉะนั้นการบ่งบอกว่าพระบุตรบังเกิด ก็บ่งบอกว่าพระองค์มีเลือดเนื้อเดียวกัน มีแก่นแท้เดียวกันกับพระบิดา ภาษากรีกที่ใช้ในคำประกาศแห่งนีเซีย ซึ่งอธิบายแก่นแท้นี้ คือ homoousios หมายถึง “จากสภาพเดียวกัน” คำนี้บ่งบอกว่าพระบุตรคือพระเจ้า ในลักษณะเดียวกันกับพระบิดา คือพระเจ้า มีสภาพพระเจ้าเหมือนกัน แก่นแท้หรือเลือดเนื้อเดียวกัน ฉะนั้นจึงเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าจะแตกต่างกัน ทว่าเป็นพระเจ้าในนัยเดียวกันเลย นี่หมายความว่าสามท่านในตรีเอกานุภาพเท่าเทียมกัน ไม่มีการสร้างสรรค์ให้ท่านใดเป็นรอง อันดับสอง อันดับสาม ในตรีเอกานุภาพ

ในที่สุดนี่หมายความว่า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหมือนกัน ในสภาพพระเจ้า เป็นพระเจ้าเท่าเทียมกัน แต่ละท่านมีคุณสมบัติของพระเจ้าทุกอย่าง ไม่มีท่านใดเป็นพระเจ้ามากกว่า มีพลังมากกว่า หรือมีสติปัญญามากกว่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่พระเจ้าที่เท่าเทียมกัน ซึ่งปฏิเสธความจริงเรื่องตรีเอกานุภาพ ความเข้าใจเช่นนี้ ว่าทั้งสามท่านเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกัน คือกุญแจสำคัญ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหลักศาสนศาสตร์ว่า ontologicalTrinity หมายความในสภาพหรือแก่นแท้ ทั้งสามท่านเท่าเทียมกันอย่างเต็มที่

ถึงแม้ว่าทุกท่านเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกัน และไม่มีข้อแตกต่างใดๆในสภาพของท่าน ก็มีข้อแตกต่างในสื่อสัมพันธ์ที่มีต่อกัน มีการจัดระเบียบที่เฉพาะเจาะจง เกี่ยวกับสื่อสัมพันธ์ของท่านภายในตรีเอกานุภาพ พระบิดามีเอกลักษณ์พิเศษในการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่น ในฐานะพระบิดา พระบุตรมีเอกลักษณ์พิเศษในการเชื่อมสัมพันธ์ ในฐานะพระบุตร ส่วนพระวิญญาณบริสุทธิ์มีเอกลักษณ์พิเศษในการเชื่อมสัมพันธ์กับพระบิดาและพระบุตร ในฐานะพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้อแตกต่างในสามท่านคือความสัมพันธ์ ไม่ใช่สภาพ พระบิดาเป็นพระบิดาเสมอ พระบุตรเป็นพระบุตรเสมอ ส่วนพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ

สื่อสัมพันธ์ของพระบุตรกับพระบิดา ก็เป็นในฐานะพระบุตรเสมอ ส่วนพระบิดาไม่ได้บังเกิดมาจากพระบุตร และไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทว่าพระบุตรบังเกิดมาจากพระบิดา และพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดาและพระบุตร สื่อสัมพันธ์ของพระบุตรกับพระบิดาก็คือ พระบิดาชี้นำ และพระบุตรเชื่อฟัง โดยตอบรับต่อความประสงค์ของพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ตอบรับต่อการชี้นำ ทั้งจากพระบิดาและพระบุตร ทั้งสามท่านเหมือนกันเลยทีเดียว ในสภาพ แก่นแท้ และธรรมชาติ ทั้งสามท่านเป็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทว่าแตกต่างกันในความสัมพันธ์และบทบาท

ในคำอุปมาอุไมย ก็อาจมองดูว่าเป็นนักเล่นฟุตบอลสองคน คือ ก) ทั้งสองเป็นมนุษย์ ข) ทั้งสองเป็นนักฟุตบอลในทีมเดียวกัน ทว่าเล่นตำแหน่งต่างกัน ทั้งสองเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงมีแก่นแท้เหมือนกัน เป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน เมื่ออยู่ในทีม คนหนึ่งอาจเป็นกองหลัง ซึ่งคุมการเล่น ส่วนอีกคนมีตำแหน่งที่แตกต่างไป ฉะนั้นก็มีหน้าที่แตกต่างกันในทีม ตำแหน่งของเขาในทีมหมายความว่าเขาเชื่อฟัง โดยเล่นตามที่กองหลังนำ เขาเชื่อฟังกองหลัง เพราะตำแหน่งของเขามีข้อกำหนดให้ทำตามคำแนะนำของกองหลัง แต่ในแง่ของแก่นแท้ เขาไม่ใช่ฝ่ายรอง นี่ก็คล้ายคลึงกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นเหมือนทีม แต่ละท่านมีบทบาท ทว่าเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกัน ในแง่ของแก่นแท้

ผู้ประพันธ์ เวน กรูเดม อธิบายไว้เช่นนี้ “คำอธิบายที่ง่ายขึ้นอีกแง่หนึ่งก็คือ ‘เท่าเทียมในสภาพ ทว่าเป็นรองในด้านบทบาท’ ทั้งสองส่วนในวลีนี้จำเป็น ต่อหลักคำสอนที่แท้จริงของตรีเอกานุภาพ ถ้าไม่มีความเท่าเทียม ทุกท่านก็ไม่ใช่พระเจ้าอย่างครบถ้วน แต่ถ้าไม่มีอันดับรองทางด้านเศรษฐศาสตร์ [ตำแหน่ง/บทบาท] เมื่อนั้นก็ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจน ในแง่ที่ทั้งสามท่านเชื่อมสัมพันธ์กัน สามท่านจึงไม่แตกต่างกัน ในฐานะพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชั่วนิรันดร์”[3]

นักปรัชญาคริสเตียนชื่อ เคนเนธ แซมเปิลส์ เขียนไว้ว่า “สมาชิกของตรีเอกานุภาพมีลักษณะเท่าเทียมกัน ในแง่คุณสมบัติ ธรรมชาติ และสง่าราศี ถึงแม้ว่าข้อพระคัมภีร์เผยให้เห็นความเป็นรอง ท่ามกลางท่านเบื้องบน ในแง่ของตำแหน่งหรือบทบาท (เช่น พระบุตรยินยอมต่อพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดาและพระบุตร) ก็ไม่มีความเป็นรอง(ความด้อย) แต่อย่างใดทั้งสิ้น ในแง่ของแก่นแท้หรือธรรมชาติ ฉะนั้นท่านเท่าเทียมกันในตัวตน ทว่าเป็นรองเฉพาะในบทบาทหรือตำแหน่ง”[4]

หลุยส์ เบอร์คอฟ บ่งบอกไว้ว่า “มีการบังเกิดและกระบวนการเกิดขึ้น ภายในสภาพเบื้องบน และบ่งบอกถึงความเป็นรองบางอย่าง ในลักษณะเฉพาะตัว ทว่าไม่มีความเป็นรอง ในด้านแก่นแท้เบื้องบน”[5]

การบังเกิดพระบุตรและการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เกิดขึ้นในความเป็นอมตะ ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ไม่มีพระบุตร หรือไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบิดาคงไม่ใช่พระบิดาผู้เป็นอมตะ ถ้าไม่มีพระบุตรผู้เป็นอมตะ การบังเกิดของพระบุตรผู้เป็นพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้เป็นพระเจ้า มาจากพระบิดาและพระบุตร เป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นส่วนหนึ่งในความเร้นลับของตรีเอกานุภาพ เป็นสิ่งที่เหนือล้ำความเข้าใจของเรา เมื่อคำนึงว่าเป็นผู้ที่ประกอบด้วยสสาร มีชีวิตในมิติเวลาและสถานที่ พระเจ้าคือพระผู้สร้างที่เป็นอมตะ คือแหล่งที่มาของทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าเราเข้าใจแง่คิดนี้ กลไกดังกล่าวก็ยังคงเป็นเรื่องเร้นลับ

หน้าที่หลักของสามท่านในตรีเอกานุภาพ

นอกเหนือจากความสัมพันธ์เฉพาะเจาะจงที่ท่านมีต่อกัน ก็ยังมีความแตกต่างด้วยในด้านบทบาท หรือหน้าที่หลัก ในความสัมพันธ์ที่มีต่อชาวโลก วิธีหนึ่งที่จะอธิบายหลักเบื้องต้นโดยทั่วไปสั้นๆก็คือ การสร้างสรรค์เป็นผลงานหลักของพระบิดา การไถ่บาปเป็นงานหลักของพระบุตร การชำระล้างเป็นหน้าที่หลักของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่ไม่ใช่หน้าที่อย่างเดียวของแต่ละท่าน หรืออีกท่านหนึ่งไม่มีส่วนในหน้าที่ดังกล่าว เพราะต่างก็มีส่วนร่วม ทว่าถือเป็นหน้าที่หลักของท่านใดท่านหนึ่งในตรีเอกานุภาพ

ตัวอย่างเช่น ในการสร้างสรรค์ เราเห็นพระบิดาตรัสว่า “จงให้มี...” ในการสร้างสรรค์จักรวาล แต่เราเห็นพระบุตรดำเนินการตามคำบัญชานี้ เพราะพระคำ/Logos มาจากพระบิดา ดังที่บ่งบอกไว้ใน ยอห์น 1:3 และข้อพระคัมภีร์อื่นๆ

พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นขึ้นมา นอกเหนือพระองค์[6]

สำหรับพวกเรา มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา และสิ่งสารพัดทั้งปวงเกิดขึ้นจากพระองค์ เราอยู่ในพระองค์ เรามีพระเยซูคริสต์เจ้าองค์เดียว สิ่งสารพัดเกิดขึ้นโดยพระองค์ และเราเป็นขึ้นมาโดยพระองค์[7]

ในวาระสุดท้าย พระองค์[พระบิดา]ได้ตรัสแก่เราผ่านพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล โดยพระบุตร[8]

นอกจากนี้เราเล็งเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย และมีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในการสร้างสรรค์

แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น[9]

อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่เรื่องของความรอด การไถ่บาป และการงานที่เราทำเพื่อพระเจ้า พระบิดาผู้เป็นพระเจ้าส่งพระบุตรมา และพระบุตรทำตามความประสงค์ของพระบิดา โดยสละชีวิตเพื่อมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระบุตรได้กระทำโดยเฉพาะ ไม่ใช่พระบิดาหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระบุตรกลับไปสู่สวรรค์ หลังจากที่ฟื้นคืนชีพ พระบุตรและพระบิดาส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเสริมสร้างชีวิตเราในทางวิญญาณ มอบพลังและพรสวรรค์ให้แก่เรา ในการรับใช้พระเจ้า

ท่านจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา[10]

การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ด้วยพระวิญญาณทรงโปรดประทานให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอันประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งทำการอัศจรรย์ต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพยากรณ์ ให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัย[11]

ดังที่คุณเห็นว่าแต่ละท่านในตรีเอกานุภาพมีหน้าที่แตกต่างกัน ภายในหน้าที่นั้นๆก็มีความเป็นรอง พระบิดาคือพระบิดา พระบุตรเชื่อฟังพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ตอบรับต่อความประสงค์ของพระบิดาและพระบุตร อย่างไรก็ตาม สภาพและแก่นแท้จากเบื้องบัน ไม่มีความเป็นรอง แต่ละท่านเป็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนเท่าเทียมกัน ถ้าหากมีความเป็นรองในสภาพหรือแก่นแท้ เมื่อนั้นก็ไม่ใช่พระเจ้าเท่าเทียมกัน และคงจะไม่มีตรีเอกานุภาพ เพราะพระบิดาจะเป็นพระเจ้ามากกว่าพระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม ข้อพระคัมภีร์บ่งบอกไว้ชัดเจนว่าทุกท่านเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกัน ในสภาพของท่าน[12]

พระเจ้าของเราคือพระเจ้าองค์เดียว พระองค์คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสามท่านที่แตกต่างกัน เท่าเทียมกัน เป็นอมตะด้วยกัน มีความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างครบถ้วน และมีความรักเพียบพร้อม แต่ละท่านมีแก่นแท้เดียวกัน มีสภาพเบื้องบนเดียวกัน มีสามท่าน ทว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียว วิเศษสุดอย่างเหลือเชื่อ!

(มีต่อตอนที่ 3)


ชีวประวัติ

คาร์ล บาร์ธ หนังสือ The Doctrine of the Word of God ฉบับที่ 1 ตอนที่ 2 สำนักพิมพ์ Peabody: Hendrickson Publisher ปี ค.ศ.2010

หลุยส์ เบอร์คอฟ หนังสือ Systematic Theology สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Wm. B. Eerdmans Publishing Company ปี ค.ศ.1996

ฟิลลิป แครี คำบรรยายชุด The History of Christian Theology คำบรรยายที่ 11,12 สำนักพิมพ์ Chantilly: The Teaching Company ปี ค.ศ.2008

วิลเลียม เลน เคร็ก หนังสือ The Doctrine of the Trinity คำบรรยายชุด Defenders Series Lecture http://www.reasonablefaith.org/site/PageServer?pagename=podcasting_main

เจมส์ ลีโอ การ์เร็ต จูเนียร์ หนังสือ Systematic Theology, Biblical, Historical and Evangelical ฉบับที่ 1 สำนักพิมพ์ N. Richland Hills: BIBAL Press ปี ค.ศ.2000

เวน กรูเดม หนังสือ Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrine สำนักพิมพ์ Grand Rapids: InterVarsity Press ปี ค.ศ.2000

ปีเตอร์ ครีฟท์ และ โรนัลด์ เค. ทาเซลลี หนังสือ Handbook of Christian Apologetics สำนักงาน Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.1994

กอร์ดอน อาร์. ลูวิส และ บรูซ เอ. เดมาเรสต์ หนังสือ Intergrative Theology สำนักงาน Grand Rapids: Zondervan ปี ค.ศ.1996

บรูซ มิลเน่ หนังสือ Know the Truth, A Handbook of Christian Belief สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.2009

จอห์น ธีโอดอร์ มูลเลอร์ หนังสือ Christian Dogmatics, A Handbook of Doctrinal Theology for Pastors, Teachers, and Laymen สำนักพิมพ์ St. Louis: Concordia Publishing House ปี ค.ศ.1934

ลุดวิก อ็อต หนังสือ Fundamentals of Catholic Dogma สำนักพิมพ์ Rockford: Tan Books and Publishers Inc. ปี ค.ศ.1960

จอห์น สก็อต หนังสือ Basic Christianity สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.1971

เจ. ร็อดแมน วิลเลียม หนังสือ Renewal Theology, Systematic Theology from a Charismatic Perspective สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan ปี ค.ศ.1996

(The Heart of It All: The Trinity (Part 2).)


[1] เริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า เริ่มแรกนั้นพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้เป็นมา นอกเหนือพระองค์ ยอห์น 1-3

[2] เวย์น กรูเดม ในหนังสือ Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrin (สำนักพิมพ์ Rapids: InterVarsity Press ปี ค.ศ. 2000) หน้า 243

[3] เวน กรูเดม ในหนังสือ Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrine (สำนักพิมพ์ Grand Rapids: InterVarsity Press ปี ค.ศ. 2000) หน้า 251

[4] เคนเนธ แซมเปิลส์ ในหนังสือ What the Trinity Is and Isn’t (ตอนที่ 2) ปี ค.ศ. 2007

[5] หลุยส์ เบอร์คอฟ ในหนังสือ Systematic Theology (สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Wm. B. Eerdmans Publishing Company ปี ค.ศ.1996) หน้า 89

[6] ยอห์น 1:3

[7] 1 โครินธ์ 8:6

[8] ฮีบรู 1:2

[9] ปฐมกาล 1:2

[10] กิจการ 1:8

[11] 1 โครินธ์ 12:7-11

[12] เพื่อให้ง่ายในการอ้างอิง ต่อไปนี้เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เอ่ยไว้ในตอนที่ 1 ของ “ตรีเอกานุภาพ” ซึ่งบ่งบอกว่า:

พระบิดาคือพระเจ้า

พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าฯ พระเจ้าของข้าฯ และเป็นศิลาแห่งความรอดของข้าฯ (เพลงสดุดี 89:26)

พระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระเจ้าพระบิดา เมื่อพระสุรเสียงจากสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ ตรัสแก่พระองค์ว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก (2 เปโตร 1:17)

 

พระบุตรคือพระเจ้า

เมื่อเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า เมื่อเริ่มแรกนั้นพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมา นอกเหนือพระองค์ (ยอห์น 1:1-3)

เพราะว่าในพระองค์นั้นสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ (โคโลสี 2:9)

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้า

พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เรา ผ่านพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น (1 โครินธ์ 2:10-11)

แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น (ปฐมกาล 1:2)

 

Copyright © 2024 The Family International. นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล นโยบายการใช้งานคุกกี้