หัวใจสำคัญ: ธรรมชาติและวิสัยของพระเจ้า

สิงหาคม 30, 2011

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

พระเจ้าคือพระวิญญาณ

(ศึกษาบทนำและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องชุดนี้โดยรวม ได้ที่ หัวใจสำคัญ: บทนำ)

ในยอห์นบทที่ 4 เมื่อพระเยซูพูดคุยกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ พระองค์บอกเธอว่า

พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง[1]

พระเยซูบอกว่าพระเจ้าคือพระวิญญาณ พระเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ฉะนั้นพระองค์ไม่ใช่วิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาเช่นกัน การที่พระเจ้าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา พระองค์จึงแตกต่างไปในแง่ของแก่นแท้หรือตัวตน จากสิ่งสร้างสรรค์ทั้งปวง พระองค์ไม่ได้ประกอบด้วยอะไรที่ถูกสร้างขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ประกอบด้วยสสาร พระองค์ไม่ใช่พลังงาน อากาศ หรือเนื้อที่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมา พระองค์มีตัวตนที่แตกต่างไป พระองค์ครอบครองลักษณะที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา รวมไปถึงทูตสวรรค์และวิญญาณมนุษย์ มนุษย์เป็นตัวตนที่มีวิญญาณ ส่วนทูตสวรรค์มีตัวตนที่จับต้องไม่ได้ ไม่ใช่สสาร ทว่าทั้งมนุษย์และทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งแตกต่างไปจากพระเจ้า

พระเจ้าเป็นอมตะในฐานะวิญญาณ พระองค์มีอยู่จริง เหนือล้ำสิ่งอื่นใดที่เราล่วงรู้ สิ่งใดอื่นที่มีตัวตน “ไม่ความนึกคิดใดยิ่งใหญ่กว่า”[2] พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทุกสิ่งบังเกิดขึ้นมาได้เพราะพระองค์ พระองค์เป็นแหล่งที่มาของทุกสิ่ง และทุกชีวิต

ดังที่ผู้ประพันธ์ชื่อ เวย์น กรูเด็ม อธิบายไว้ว่า เราอาจถามว่าทำไมพระเจ้ามีตัวตนเช่นนี้ ทำไมพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ เราพูดได้แต่ว่านี่เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด! นี่เป็นสภาพเหนือล้ำกว่าอะไรทั้งสิ้นที่เราล่วงรู้ เมื่อทำสมาธิตรึกตรองถึงข้อเท็จจริงนี้ ก็น่าทึ่งใจจริงๆ[3]

เนื่องจากพระเจ้ามีตัวตนที่แตกต่างไปลิบลับ เหนือล้ำกว่าพวกเรายิ่งนัก เราก็ไม่อาจเข้าใจแก่นแท้หรือสภาพของพระองค์ได้อย่างสิ้นเชิง

พระเจ้ามีสภาพที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

พระเจ้ามีสภาพที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เรามองไม่เห็นพระองค์

พระองค์ผู้เดียวเป็นอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีใครเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และเห็นไม่ได้ เกียรติและฤทธานุภาพจงมีแด่พระองค์นั้นสืบไปเป็นนิจ อาเมน[4]

ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าในเวลาใดเลย พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา ผู้ทรงสถิตในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว[5]

ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระบิดา นอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว[6]

ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ไม่ว่าเวลาใด ถ้าเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา[7]

บัดนี้ เกียรติและสง่าราศีจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏแก่ตา พระเจ้าผู้ทรงพระปัญญาแต่พระองค์เดียว สืบไปเป็นนิจ อาเมน[8]

คำถามที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่ออ่านข้อพระคัมภีร์ข้างต้นก็คือ “แล้วเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมที่ผู้คนเห็นพระเจ้าล่ะ” ตัวอย่างเช่น โมเสสบนภูเขาไซนาย

โมเสสจึงกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดสำแดงสง่าราศีของพระองค์แก่ข้าเถิด” พระองค์จึงตรัสว่า “เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเราคือ เยโฮวาห์ ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใด เราก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น”

พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้” พระเยโฮวาห์ตรัสอีกว่า “ดูเถิด มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น แล้วขณะเมื่อสง่าราศีของเราผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลา และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเรา จนกว่าเราจะผ่านไป เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะมิได้เห็น”[9]

มีข้ออื่นๆ เมื่อพระเจ้าแสดงพระองค์ต่อผู้คนในพระคัมภีร์เดิม เช่น อับราฮาม ชนชาติอิสราเอล เมื่อพวกเขาเร่ร่อนไปในทะเลทราย และผู้อาวุโสของชาวอิสราเอล

พระเยโฮวาห์ทรงปรากฏแก่เขาที่ราบของมัมเร และเขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ในเวลาแดดร้อน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง ดูเถิด มีชายสามคนยืนอยู่ข้างเขา เมื่อเขาเห็นท่านเหล่านั้นจึงวิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับ  และก้มหน้าลงกับพื้น และพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าบัดนี้ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขอท่านโปรดอย่าผ่านไปจากผู้รับใช้ของท่านเลย”[10]

พระเยโฮวาห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวัน ด้วยเสาเมฆ และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทาง ทั้งกลางวันและกลางคืน[11]

ครั้งนั้นโมเสสกับอาโรน นาดับและอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอลขึ้นไปอีก เขาทั้งหลายได้เห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และพื้นที่รองพระบาทเป็นดุจพลอยไพทูรย์สุกใสเหมือนท้องฟ้าทีเดียว พระองค์มิได้ลงโทษบรรดาหัวหน้าชนชาติอิสราเอล เขาทั้งหลายได้เห็นพระเจ้า และได้ดื่มกิน[12]

เห็นได้ชัดว่า พระเจ้าแสดงพระองค์ต่อผู้คน ในรูปแบบซึ่งเขามองเห็นได้ สิ่งที่เขาเห็นคือสิ่งที่เรียกว่า “การปรากฏกายของพระเจ้า” ซึ่งเป็นการแสดงตนให้ประจักษ์ชัด การเห็นการปรากฏกายของพระเจ้านั้น แตกต่างจากการเห็นตัวตนหรือแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

เดวิด เบิร์ก อธิบายไว้ดังนี้

โมเสสอยากเห็นพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงบอกว่าจะให้เขาเห็นด้านหลังของพระองค์! (อพยพ 33:23) แน่นอนว่าจริงๆแล้วพระองค์หมายความว่า “อย่างน้อยที่สุดที่เราให้เจ้าเห็นได้ ส่วนต่ำต้อยที่สุดของเรา ซึ่งให้เห็น หรือเข้าใจ หรือหยั่งรู้ได้![13]

พระเจ้ามีลู่ทางในการสำแดงพระองค์เองให้เห็น ซึ่งนักศาสนศาสตร์เรียกว่า “การปรากฏกายของพระเจ้า” หรือ “กายของพระเจ้า” ซึ่งเป็นตัวแทนทางวัตถุที่มองเห็นได้ของพระเจ้า[14]

ผู้คนในพระคัมภีร์เดิมที่เคยเห็นพระเจ้า สามารถมองเห็นรูปแบบภายนอก หรือภาพสะท้อนของพระเจ้า ที่เรียกว่า การปรากฏกายของพระเจ้า นี่ไม่ใช่สภาพหรือแก่นแท้ทั้งสิ้นของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าเขาเห็นสภาพทั้งหมดของพระเจ้า เพราะไม่มีใครมองเห็นเช่นนั้น แล้วมีชีวิตอยู่[15]

แน่นอนว่าพระเยซูคือพระเจ้า และพระองค์ดำเนินอยู่ในโลก มีผู้คนมากมายได้เห็นพระองค์ และเขายังมีชีวิตอยู่ เขาเห็นพระเจ้าในร่างพระบุตรมาจุติ ซึ่งหมายความว่า “มีร่างทางเนื้อหนัง” เขาจึงได้เห็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่สภาพครบถ้วนของพระเจ้า ในสง่าราศีทั้งสิ้น เปโตร ยากอบ และยอห์น เห็นพระเยซูแปลงร่างบนภูเขา แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่ได้เห็นพระเจ้าในสภาพที่ครบถ้วน ตามข้อพระคัมภีร์ ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า และมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้แต่ส่วนที่เขาได้เห็น เขาก็ตื้นตันใจอย่างท่วมท้น

พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น น้องชายของยากอบ ขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วพระกายของพระองค์เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง[16]

ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาหวาดกลัวนัก”[17]

Anthropomorphism (ความเหมือนมนุษย์)

เนื่องจากพระเจ้าเป็นบุคคลผู้ที่รักเรา และต้องการให้เรารู้จักและรักพระองค์ พระองค์ได้เผยลักษณะเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับพระองค์ต่อมนุษย์ ผ่านพระคำของพระองค์ เพื่อบ่งบอกต่อเราว่าพระองค์เป็นเช่นไร พระองค์สื่อความเกี่ยวกับพระองค์ ในแง่ที่เราเข้าใจได้ ฉะนั้นเมื่อพูดคุยกับผู้คนเช่น อับราฮาม โมเสส และผู้พยากรณ์ พระองค์กล่าวด้วยถ้อยคำที่เขาเข้าใจ โดยใช้ภาษาอธิบายที่เขาเชื่อมโยงได้

สื่อความหมายอย่างหนึ่งในการทำเช่นนั้นก็คือ ผ่านการใช้สิ่งที่เรียกว่า anthropomorphisms คือความเหมือนมนุษย์ คำว่า anthropomorphic มาจากคำกรีกสองคำ คำหนึ่งหมายถึง “มนุษย์” อีกคำหนึ่งหมายถึง “รูปร่างสัณฐาน” anthropomorphism เมื่อเกี่ยวโยงถึงพระเจ้า ก็อ้างอิงถึงคุณสมบัติทางกายและความรู้สึกของมนุษย์ รวมทั้งประสบการณ์ของมนุษย์ ต่อพระองค์

ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าพระเจ้าเป็นวิญญาณ และไม่มีร่างกายทางวัตถุ พระคัมภีร์กล่าวถึงใบหน้า ดวงตา มือ หู ปาก จมูก ริมฝีปาก ลิ้น แขน เท้า น้ำเสียงของพระองค์ ฯลฯ[18] มีข้อความกล่าวถึงพระองค์ในแง่ประสบการณ์ของมนุษย์ด้วย เช่น มีบรรยายไว้ว่าพระองค์เป็นผู้เลี้ยงแกะ เจ้าบ่าว นักรบ ผู้พิพากษา กษัตริย์ สามี ฯลฯ[19] มีข้อความกล่าวถึงพระองค์ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำของมนุษย์ เช่น เห็น ได้ยิน นั่ง เดิน ผิวปาก พักผ่อน สูดดม รวมทั้งรับรู้ เลือก และอบรมสั่งสอน[20]

ความรู้สึกที่เราประสบในฐานะมนุษย์ เป็นคุณสมบัติที่มาจากพระองค์ เพราะมีกล่าวไว้ว่าพระองค์รัก เกลียด รื่นรมย์ หัวเราะ เสียใจ หวงแหน โกรธ ปีติยินดี และอื่นๆ[21]

นอกจากนี้มีอุปมาอุไมยที่เชื่อมโยงพระเจ้ากับสิ่งสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เปรียบเทียบพระองค์กับสิงโต ดวงอาทิตย์ ลูกแกะ ศิลา ป้อมปาการ โล่ ฯลฯ[22]

ความเหมือนมนุษย์ รวมทั้งอุปมาอุปไมย คือสิ่งที่พระเจ้าดลใจให้ผู้เขียนพระคัมภีร์นำมาใช้ เพื่อบ่งบอกถึงแง่คิดว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร และเราเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าพระเจ้าไม่มีมือ เท้า หู และดวงตาจริงๆ ถ้อยคำดังกล่าวก็เป็นพื้นฐานให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไร และพระองค์เชื่อมสัมพันธ์กับเราอย่างไร

นักศาสนศาสตร์ แจ็ค คอตเทลล์ กล่าวว่าภาษาเช่นนี้ ถือว่าเป็นการบ่งบอกถึงคุณความดีของพระเจ้า ที่ลดตัวลงมาอธิบายพระองค์เองในภาษามนุษย์ เพื่อเราจะได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์บอกกล่าวได้ดีขึ้น[23]

เจ. ไอ. แพ็คเกอร์ เปรียบเทียบการที่พระเจ้าพูดคุยกับเราเหมือนบิดา ผู้มีสมองดุจไอสไตน์ อธิบายบางสิ่งให้เด็กวัยสองขวบเข้าใจ ภาษาที่ใช้เรียบง่าย ซึ่งเด็กเข้าใจได้ แทนที่จะอธิบายรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งสลับซับซ้อนกว่าหลายเท่า[24] ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าคือความรัก เราทราบว่าความรักเป็นเช่นไร จากประสบการณ์ของมนุษย์ ฉะนั้นเราจึงมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ความรักเริ่มต้นมาจากพระเจ้า นี่คือคุณสมบัติประการหนึ่งของพระองค์ และพวกเราในฐานะสิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์ ถูกสร้างขึ้นมาตามลักษณะของพระองค์ ก็สามารถมอบความรักได้ อย่างไรก็ตาม สำคัญที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นความรักที่เหนือล้ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นความรัก การบ่งบอกว่าพระเจ้าคือบางสิ่ง เช่น ความรัก ในภาษามนุษย์ ก็ช่วยให้เรามีข้ออ้างอิง ทว่าไม่ได้ให้คำอธิบายครบถ้วนว่าพระเจ้าคือความรักนั้นหมายถึงอะไร ความครบถ้วนในความรักของพระเจ้า เหนือล้ำความรักใดๆที่เราเคยเข้าใจ แต่ความจริงที่ว่าเราเชื่อมสัมพันธ์กับความรักได้ และมีความเข้าใจบ้าง ก็ช่วยให้เราสำนึกว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร ด้วยสื่อความหมายที่เราเข้าใจได้

พระเจ้าคือวิญญาณ พระองค์คือบุคคลเช่นกัน รวมทั้งเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระองค์มีคุณสมบัติของบุคคล เช่น สำนึกในตัวเอง มีสติสัมปชัญญะ ความตั้งใจในตัวเอง เชาวน์ปัญญา ความรู้ และความตั้งใจ เนื่องจากมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามลักษณะของพระเจ้า เราก็เป็นบุคคล วิธีหนึ่งที่เราเข้าใจได้มากที่สุดก็คือ จากภาษาที่บ่งบอกถึงการปรากฏกายของพระเจ้า การที่จะบ่งบอกถึงธรรมชาติและวิสัยของพระองค์ พระเจ้าใช้ภาษาที่เผยถึงบุคคล ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจพระองค์ ในแง่ที่เราคุ้นเคย

ผู้ประพันธ์ท่านหนึ่งอธิบายไว้ว่า ผู้เขียนพระคัมภีร์ทราบเป็นดีว่าพระเจ้าไม่มีร่างกายจริงๆ แต่เขาก็ยืนยันว่าพระเจ้าเป็นบุคคลโดยแท้ พระองค์มองดูมนุษย์ พระองค์เอื้อเฟื้อเขา พระองค์ให้คำปรึกษาแก่เขา ในแง่นี้พระองค์ก็มี “ตา” “มือ” และ “เท้า” การหลีกเลี่ยงเรื่องการปรากฏกายของพระเจ้า ก็เป็นการละเลยที่จะวาดภาพพระเจ้าในความเป็นจริงที่พระองค์ทรงพระชนม์และเป็นบุคคล[25]

พระเจ้าเลือกที่จะเผยพระองค์เองต่อมนุษย์ ผ่านถ้อยคำที่พระองค์กล่าวกับและกล่าวผ่านผู้เขียนพระคัมภีร์ ในการทำเช่นนั้น พระองค์กล่าวในภาษาและลักษณะที่เขา และพวกเราผู้ที่ตามมา จะเข้าใจได้ พระองค์เผยพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ซึ่งเป็นบุคคล วิญญาณ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เราจะครอบคลุมเพิ่มเติมว่าพระองค์เผยพระองค์เองอย่างไร ในบทความต่อๆไปของเรื่องชุดนี้


ชีวประวัติ

คาร์ล บาร์ธ เรื่อง The Doctrine of the Word of God เล่ม 1 ตอนที่ 2 สำนักพิมพ์ Peabody: Hendrickson Publishers ค.ศ.2010

หลุยส์ เบอร์คอฟ เรื่อง Systematic Theologyสำนักพิมพ์Grand Rapids: Wm. B. Eerdmans Publishing Company ค.ศ.1996

แจ็ค คอตเทรล เรื่อง What the Bible Says About God the Creatorสำนักพิมพ์ Eugene: Wipf and Stock Publishers ค.ศ.1996

วิลเลียม เลน เคร็ก ชุดคำบรรยายเรื่อง The Doctrine of God http://www.reasonablefaith.org/site/PageServer?pagename=podcasting_main

เจมส์ ลีโอ การ์เร็ต จูเนียร์ เรื่อง Systematic Theology, Biblical, Historical, and Evangelicalเล่ม 1 สำนักพิมพ์ N. Richland Hills: BIBAL Press ค.ศ.2000

เวย์น กรูเด็ม เรื่อง Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrineสำนักพิมพ์ Grand Rapids: InterVarsity Press ค.ศ.2000

กอร์ดอน อาร์. ลูวิส และ บรูซ เอ. เดมาเรสต์ เรื่อง Integrative Theology สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan ค.ศ.1996

บรูซ มิลเน เรื่อง Know the Truth, A Handbook of Christian Belief สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ค.ศ.2009

จอห์น ธีโอดอร์ มูลเล่อร์ เรื่อง Christian Dogmatics, A Handbook of Doctrinal Theology for Pastors, Teachers, and Laymen สำนักพิมพ์ St. Louis: Concordia Publishing House ค.ศ.1934

ลุดวิก อ็อต เรื่อง Fundamentals of Catholic Dogma สำนักพิมพ์ Rockford: Tan Books and Publishers, Inc. ค.ศ.1960

เจ. ไอ. แพ็คเกอร์ ชุดคำบรรยายเรื่อง The Attributes of God ชุดที่ 1 และ 2

เจ. ร็อดแมน วิลเลียมส์ เรื่อง Renewal Theology, Systematic Theology from a Charismatic Perspective สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan ค.ศ.1996


[1] ยอห์น 4:24

[2] แอนเซล์ม แห่งแคนเทอร์เบอรี แปลโดย โจนาธาน บาร์เนส เรื่อง Anselm's Proslogium or Discourse on the Existence of God บทที่ 2

[3] กรูเด็ม เวย์น Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrineสำนักพิมพ์ Grand Rapids: InterVarsity Press ค.ศ. 2000 หน้า 188

[4] 1 ทิโมธี 6:16

[5] ยอห์น 1:18

[6] ยอห์น 6:46

[7] 1 ยอห์น 4:12

[8] 1 ทิโมธี 1:17

[9] อพยพ 33:18-23

[10] ปฐมกาล 18:1-3

[11] อพยพ 13:21

[12] อพยพ 24:9-11

[13] เดวิด บรานท์ เบิร์ก The Talisman มกราคม ค.ศ.1979 เลขที่ 1369 ข้อ 29

[14] เดวิด บรานท์ เบิร์ก Spaceman!กรกฎาคม ค.ศ. 1970 เลขที่ 2977 ข้อ 24

[15] อพยพ 33:20

[16] มัทธิว 17:1-2

[17] มาระโก 9:5-6

[18] ใบหน้า:  เพราะพระเยโฮวาห์ผู้ชอบธรรมทรงรักความชอบธรรม พระพักตร์ของพระองค์ทอดพระเนตรคนเที่ยงตรง เพลงสดุดี 11:7

ดวงตา:พระเยโฮวาห์ทรงสถิตในพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระที่นั่งของพระเยโฮวาห์อยู่บนฟ้าสวรรค์ พระเนตรของพระองค์มองและหนังตาของพระองค์ทดสอบบุตรทั้งหลายของมนุษย์ เพลงสดุดี 11:4

มือ:บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยโฮวาห์จะทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ พระองค์จะทรงฟังเขาจากฟ้าสวรรค์อันบริสุทธิ์ของพระองค์ และโดยชัยชนะอันทรงอานุภาพด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์  เพลงสดุดี 20:6

หู: ดูเถิด พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์มิได้สั้นลง ที่จะช่วยให้รอดไม่ได้ หรือพระกรรณตึง ซึ่งจะไม่ทรงได้ยิน  อิสยาห์ 59:1

ปาก: ข้ามิได้พรากไปจากพระบัญญัติแห่งริมพระโอษฐ์ของพระองค์ ข้าตีราคาพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์สูงกว่าอาหารที่จำเป็นสำหรับข้า  อิสยาห์ 59:1

จมูก:ควันออกไปตามช่องพระนาสิกของพระองค์ และพระเพลิงผลาญออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ถ่านก็ติดเปลวไฟนั้น  เพลงสดุดี 18:8

ริมฝีปาก: โอ ใคร่จะให้พระเจ้าตรัส และทรงเปิดริมพระโอษฐ์ของพระองค์ตรัสกับท่าน  โยบ 11:5

ลิ้น: ดูเถิด พระนามของพระเยโฮวาห์มาจากที่ไกล ร้อนด้วยความกริ้วของพระองค์ ภาระนั้นก็หนักหนา ริมพระโอษฐ์ของพระองค์เต็มด้วยความกริ้ว และพระชิวหาของพระองค์เหมือนไฟเผาผลาญ  อิสยาห์ 30:27

แขน: ความรู้สึกเสียวสยอง และความตกใจกลัวจะอุบัติขึ้นในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ เขาจะหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ จนพลไพร่ของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป  อพยพ 15:16

มือ:พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์สั้นไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จเพื่อเจ้าจริงหรือไม่  กันดารวิถี 11:23

เท้า: พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า “สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา นิเวศซึ่งเจ้าจะสร้างให้เรานั้น จะอยู่ที่ไหนเล่า และที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน  อิสยาห์ 66:1

น้ำเสียง: ถ้าท่านเพียงแต่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน พึงระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติทั้งหลาย ซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่านในวันนี้  พระราชบัญญัติ 15:5

[19] ผู้เลี้ยงแกะ: พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน  เพลงสดุดี 23:1

เจ้าบ่าว:เจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าสาวฉันใด พระเจ้าของเจ้าก็เปรมปรีดิ์เพราะเจ้าฉันนั้น  อิสยาห์ 65:2

นักรบ:พระเยโฮวาห์ทรงเป็นนักรบ พระนามของพระองค์คือ พระเยโฮวาห์  อพยพ 15:3

ผู้พิพากษา:พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้พิพากษาของเรา พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติให้เรา พระเยโฮวาห์ทรงเป็นบรมมหากษัตริย์ของเรา พระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด  อิสยาห์ 33:22

กษัตริย์:พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเป็นพระมหากษัตริย์เนืองนิตย์  เยเรมีย์ 10:10

สามี: พระผู้สร้างเจ้าเป็นสามีของเจ้า พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลเป็นผู้ไถ่ของเจ้า เขาจะเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าของสากลโลก  อิสยาห์ 54:5

[20] มองเห็น: พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งว่าแผ่นดิน และที่น้ำรวบรวมเข้าอยู่แห่งเดียวกันว่าทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี  ปฐมกาล 1:10

ได้ยิน: พระเจ้าทรงสดับฟังเสียงคร่ำครวญของเขา พระเจ้าจึงทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์กับอับราฮาม อิสอัค และยาโคบ  อพยพ 2:24

นั่ง: พระเยโฮวาห์จะทรงนั่งครองบัลลังก์เป็นนิตย์ พระองค์ทรงตระเตรียมบัลลังก์ของพระองค์เพื่อการพิพากษา  เพลงสดุดี 9:7

เดิน: เราจะดำเนินในหมู่พวกเจ้า และจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นพลไพร่ของเรา  เลวีนิติ 26:12

ผิวปาก: ต่อมาในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงผิวพระโอษฐ์เรียกเหลือบ ซึ่งอยู่ทางต้นกำเนิดแม่น้ำแห่งอียิปต์ และเรียกผึ้งซึ่งอยู่ในแผ่นดินอัสซีเรีย  อิสยาห์ 7:18

พักผ่อน: ในวันที่เจ็ดพระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น  ปฐมกาล 2:2

สูดดม:พระเยโฮวาห์ได้ดมกลิ่นหอมหวาน และพระเยโฮวาห์ทรงดำริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินอีก เพราะเหตุมนุษย์ ด้วยว่าเจตนาในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กมา เราจะไม่ประหารสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตอีก เหมือนอย่างที่เราได้กระทำแล้วนั้น  ปฐมกาล 8:21

รับรู้:เราจะลงไปเดี๋ยวนี้ดูว่าพวกเขากระทำตามเสียงร้องทั้งสิ้นซึ่งมาถึงเราหรือไม่ ถ้าไม่ เราจะรู้  ปฐมกาล 18:21

เลือก:เพราะว่าพวกท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านออกจากชนชาติทั้งหลายที่อยู่บนพื้นโลก ให้มาเป็นชนชาติในกรรมสิทธิ์ของพระองค์  พระบัญญัติ 7:6

อบรมสั่งสอน: พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงตีสอนท่าน เหมือนกับบิดาตีสอนบุตรของตนเช่นกัน  พระบัญญัติ 8:5

[21] รัก: เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์  ยอห์น 3:16

เกลียด: ท่านอย่าตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์เป็นรูปเคารพ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงรังเกียจ   พระราชบัญญัติ 16:22

ความรื่นรมย์: พระเยโฮวาห์ทรงปรีดีในประชาชนของพระองค์ พระองค์จะทรงประดับคนใจถ่อมด้วยความรอด  เพลงสดุดี 149:4

หัวเราะ: ข้าแต่พระเยโฮวาห์ แต่พระองค์ทรงหัวเราะเยาะเขา พระองค์ทรงเยาะเย้ยประชาชาติทั้งปวง  เพลงสดุดี 59:8

เสียใจ:พระเยโฮวาห์ทรงโทมนัสที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์บนแผ่นดินโลก และกระทำให้พระองค์ทรงเศร้าโศกภายในพระทัยของพระองค์  ปฐมกาล 6:6

หวงแหน:อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเรา จนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน  อพยพ 20:5

โกรธ:พระพิโรธของพระเยโฮวาห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือพวกปล้นผู้ปล้นเขา และทรงขายเขาไว้ในมือของบรรดาศัตรูที่อยู่รอบเขาทั้งหลาย ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงต่อต้านพวกศัตรูของเขาทั้งหลายต่อไปไม่ได้  ผู้วินิจฉัย 2:14

ปีติยินดี: พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงกระทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่งในบรรดากิจการที่มือท่านกระทำ ในผลแห่งตัวของท่าน และในผลแห่งฝูงสัตว์ของท่าน และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระเยโฮวาห์จะทรงปลื้มปีติที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอีก ดังที่พระองค์ทรงปลื้มปีติในบรรพบุรุษของท่าน  พระราชบัญญัติ 30:9

[22] สิงโต: พระเยโฮวาห์ตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “ดังสิงโตหรือสิงโตหนุ่มคำรามอยู่เหนือเหยื่อของมัน และเมื่อเขาเรียกผู้เลี้ยงแกะหมู่หนึ่งมาสู้มัน มันจะไม่คร้ามกลัวต่อเสียงของเขาทั้งหลาย หรือย่อย่นต่อเสียงอึงคะนึงของเขา ดังนั้นแหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะเสด็จลงมาเพื่อสู้รบ เพื่อภูเขาศิโยนและเพื่อเนินเขาของมัน” อิสยาห์ 31:4

ดวงอาทิตย์: พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่ พระเยโฮวาห์จะทรงปูนความกรุณาและเกียรติ พระองค์มิได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลย จากบุคคลผู้ดำเนินในความเที่ยงธรรม  เพลงสดุดี 84:11

ลูกแกะ:ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เงียบกริบอยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น  อิสยาห์ 53:7

ศิลา: พระองค์ทรงเป็นศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์ พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ก็ยุติธรรม พระเจ้าที่เที่ยงธรรมและปราศจากความชั่วช้า พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง  พระราชบัญญัติ 32:4

ป้อมปราการ: พระนามของพระเยโฮวาห์เป็นป้อมเข้มแข็ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย  สุภาษิต 18:10

โล่ห์:โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสง่าราศีของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศีรษะของข้าพระองค์ไว้  เพลงสดุดี 3:3

[23] แจ็ค ค็อตเทลล์ What the Bible Says About God the Creator สำนักพิมพ์ Eugene: Wipf and Stock Publishers  ค.ศ.1996 หน้า 288

[24] เจ.ไอ. แพ็คเกอร์ เรื่อง Creation, Evolution and Problemsคำบรรยายที่ 15 หัวข้อ The Attributes of God ตอนที่ 2

[25] เจ. ร็อดแมน  วิลเลียมส์ เรื่อง Renewal Theology, Systematic Theology from a Charismatic Perspective สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan  ค.ศ.1996 เล่ม 1 หน้า 51