หัวใจสำคัญ: มนุษย์ผู้เป็นพระเจ้า (ตอนที่ 2)

เมษายน 27, 2011

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

ในตอนแรกของ มนุษย์ผู้เป็นพระเจ้า เราครอบคลุมบางสิ่งที่พระเยซูบอกกล่าวและกระทำ ซึ่งยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้า

สาวกของพระองค์ ผู้ซึ่งอยู่อาศัยและทำงานร่วมกับพระองค์เป็นเวลาหลายปี ในช่วงที่ประกาศข่าวสารต่อสาธารณชน เขาเฝ้าดูพระองค์อย่างใกล้ชิด ในที่สุดทุกคนล้วนสรุปว่าพระองค์คือพระเจ้า

มุมมองจากสาวกของพระเยซู

ผู้ติดตามของพระองค์ล้วนเป็นชาวยิว ฉะนั้นจึงทราบข้อพระคัมภีร์ชาวยิวอย่างลึกซึ้ง เขาตระหนักดีว่าตามข้อพระคัมภีร์ มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และการนมัสการพระเจ้าอื่น เป็นบาปซึ่งมีโทษถึงตาย

เขาเหล่านี้ไม่ทราบว่าพระเยซูคือพระเจ้า เมื่อพระองค์เรียกให้เขาติดตามพระองค์ เขากลายเป็นผู้ที่มีความเชื่อว่าพระองค์คือพระมาซีฮา ตามที่มีคำสัญญาไว้ คือพระคริสต์ แต่โดยทั่วไปแล้วชาวยิวไม่ได้คาดหมายให้พระมาซีฮาเป็นพระเจ้า ในสมัยพระเยซู ชาวยิวเข้าใจกันว่าพระมาซีฮาคือ “ผู้ที่ได้รับการเจิม” เหมือนที่กษัตริย์อิสราเอลคือผู้ได้รับการเจิม ผู้ซึ่งจะปลดปล่อยอิสราเอลให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงของโรม พวกสาวกคิดว่าพระเยซูจะเป็นกษัตริย์ทางโลก ซึ่งได้รับการเจิมจากพระเจ้า เขาไม่ได้คาดหมายให้พระมาซีฮาเป็นพระเจ้า เมื่อวันเวลาผ่านไป พวกสาวกเริ่มเข้าใจว่าพระเยซูเป็นยิ่งกว่าพระมาซีฮา พระองค์คือพระเจ้า แต่เขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จนกระทั่งหลังจากที่พระองค์สิ้นชีวิตและฟื้นคืนชีพ

แม้แต่คืนที่พระเยซูถูกจับกุม ถึงแม้ว่าพระองค์เตือนเขาไว้ล่วงหน้า ดูเหมือนเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเขา ต้นสัปดาห์นั้นเขาได้ยินเพื่อนร่วมชาติโห่ร้องเชียร์พระเยซูว่า “ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” และ “โฮซันนาพระผู้สูงสุด”[1] อีกหลายวันต่อมาเขากลับได้ยินฝูงชนร้องว่า “จับเขาตรึงกางเขน”[2]

เขาเห็นพระองค์ประกาศต่อฝูงชนหลายพันคน และช่วยอนุเคราะห์รายบุคคล เขาได้เห็นพระองค์ทำมหัศจรรย์ เขารู้ว่ามีขนมปังแค่ห้าก้อนและปลาสองตัวในตอนแรก ทว่าเขารวบรวมอาหารที่เหลือได้หลายตะกร้า เมื่อผู้คนทานกันเสร็จแล้ว เขาเห็นพระองค์เดินไปบนน้ำ ช่วยให้คนตาบอดมองเห็น รักษาคนโรคเรื้อน และชุบชีวิตคนตาย เขาเห็นพระองค์ถูกจับกุม ถูกโบยตี และตรึงกางเขน เขาเห็นพระองค์สิ้นชีวิต และถูกฝังในหลุมศพ เขาสิ้นหวังและหลบซ่อนด้วยความกลัว หลังจากที่พระองค์สิ้นชีวิต แล้วเขาก็เห็นพระองค์มีชีวิตอีกครั้ง เขาพูดคุยกับพระองค์ เขาทานอาหารกับพระองค์ และสี่สิบวันต่อมาเขาก็เห็นพระองค์ล่องลอยขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์

จากเหตุการณ์ในชีวิต ความตาย และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู คนเหล่านี้ รวมทั้งหลายๆคนที่ติดตามพระองค์ ก็เชื่อมั่นว่าพระเยซูไม่ใช่แค่พระมาซีฮา ทว่าพระองค์เป็นพระเจ้า สาวกของพระองค์เชื่ออย่างลึกๆ เขาจึงประกาศถึงเรื่องดังกล่าวตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะยังผลให้ถูกข่มเหงรังแก ทนทุกข์ทรมาน และต้องพลีชีพเพื่อความเชื่อ มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาว่าอัครสาวกแทบทุกคนพลีชีพเพื่อความเชื่อ มีแต่ยอห์นเท่านั้นที่ตายด้วยโรคชรา

ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงกางเขน สาวกอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพระเยซูคือใคร เขาไม่เข้าใจนัยสำคัญในการที่พระองค์ยอมตายเพื่อบาปของชาวโลก แต่หลังจากที่พระองค์ฟื้นคืนชีพ และก่อนที่พระองค์จะล่องลอยขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูอธิบายข้อพระคัมภีร์ซึ่งให้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น เกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ และบทบาทของพระองค์

“นี่เป็นถ้อยคำของเราซึ่งเราบอกไว้แก่ท่าน เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในบัญญัติของโมเสสและในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์และในหนังสือสดุดีกล่าวถึงเรานั้นจำเป็นจะต้องสำเร็จผล" ครั้งนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานและเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สามและจะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ เรื่องการกลับใจใหม่และเรื่องยกบาปชนทุกชาติตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม[3]

“พระองค์จึงเริ่มอธิบายให้เขาฟัง เกี่ยวกับพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อ เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาศาสดาพยากรณ์”[4]

นับตั้งแต่วันเพนตาคอสเป็นต้นมา พวกสาวกประกาศว่าพระเยซูคือพระเจ้า และบันทึกไว้เช่นนั้น ในบทความนี้ เราจะรวมบางส่วนที่เขาได้กล่าวไว้ เป็นข้อเขียนจากพระคัมภีร์ใหม่ ในพระกิตติคุณและสาส์นหลายฉบับ ซึ่งก่อร่างสร้างพื้นฐานคำสอนหลักของคริสเตียน คือพระเยซูเป็นพระเจ้า การที่พระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ

ความศรัทธาของชาวยิว และการหมิ่นประมาท

สาวกและอัครสาวกชุดแรกๆเป็นชาวยิวทั้งหมด ท่านเปาโลผู้เขียนสาส์นหลายฉบับ ซึ่งประกอบกันเป็นพระคัมภีร์ใหม่ ท่านไม่ใช่ผู้มีความเชื่อในพระเยซู จนกระทั่งหลายปีหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้ว ถึงกระนั้นก็ถือว่าท่านเป็นอัครสาวกเช่นกัน ท่านมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการพัฒนากลุ่มผู้มีความเชื่อและหลักคำสอนของคริสเตียนสมัยแรกๆ ท่านไม่ใช่เป็นแค่ชาวยิวเท่านั้น แต่ท่านบอกว่า “เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านพระบัญญัติ ก็อยู่ในคณะฟาริสี ในด้านความกระตือรือร้น ก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมซึ่งมีอยู่โดยพระราชบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติ”[5]

สำหรับชาวยิวสมัยนั้น โดยเฉพาะผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้า เช่นท่านเปาโล ข้อพระคัมภีร์ พระบัญญัติ และผู้พยากรณ์ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต เขาเชื่อฟังพระบัญญัติ ทั้งในด้านศีลธรรมจรรยา และในด้านพิธีกรรม สิ่งนี้ปกครองชีวิตเขา  บริบท วัฒนธรรม และมุมมองต่อโลก ฝังแน่นในข้อพระคัมภีร์และประเพณีที่มีอยู่รอบข้างเขา สิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าผิด ก็เป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าผิด ถ้าเขาไม่เชื่อฟังข้อพระคัมภีร์ เขาก็เสี่ยงกับการถูกลงโทษที่ไม่เชื่อฟัง ไม่ใช่แค่ทางวิญญาณ ทว่าทางกายด้วย ในสมัยนั้นหญิงผู้ที่ผิดประเวณี จะถูกขว้างด้วยหินจนตาย สตีเฟ่น หนึ่งในสาวกรุ่นแรก ถูกขว้างด้วยหินจนตาย เพราะถือกันว่าเขาหมิ่นประมาท นั่นแหละคือบัญญัติที่ปกครองชาวยิว และการฝ่าฝืนบัญญัติก็จะมีผลตามมา

แก่นแท้ในความศรัทธาของชาวยิว ซึ่งมีบัญญัติของชาวยิวสนับสนุน ก็คือ การจงรักภักดีต่อพระเจ้า การนมัสการพระเจ้าแห่งอิสราเอล นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การซื่อสัตย์ต่อพระองค์ผู้เดียว คือแกนสำคัญในความศรัทธาของเขา

ชาวอิสราเอล จงฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เป็นพระเยโฮวาห์ผู้เดียว ท่านจงรักพระเยโฮวาห์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน สุดจิตสุดใจ และสุดกำลัง... ท่านจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์ และปฏิญาณโดยออกพระนามของพระองค์ ท่านอย่าติดตามพระเจ้าอื่น ซึ่งเป็นพระเจ้าของชนชาติที่อยู่ล้อมรอบท่าน เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงสถิตท่ามกลางท่าน เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน เกรงว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่าน จะพระพิโรธต่อท่าน และทำลายท่านเสียจากพื้นแผ่นดินโลก[6]

เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ คือจากเรือนทาส อย่ามีพระเจ้าอื่นใด นอกเหนือจากเรา อย่าทำรูปเคารพสลักสำหรับตน เป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน ให้โทษเพราะความชั่วช้าของบิดา ตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเรา จนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน แต่แสดงความเมตตาต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเรา[7]

ผู้ใดถวายบูชาแด่พระเจ้าต่างๆ เว้นแต่พระเยโฮวาห์องค์เดียว ผู้นั้นต้องถูกทำลายเสียสิ้น[8]

ในการงานช่วงแรกๆของพระเยซู หลังจากที่พระองค์เดินบนน้ำ พระคัมภีร์กล่าวว่าเหล่าสาวกนมัสการพระองค์ และป่าวประกาศว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง”[9] แต่หลังจากได้เป็นประจักษ์พยานถึงการสิ้นชีวิตของพระเยซู และเห็นพระองค์กลับมีชีวิตขึ้นมา เหล่าสาวกนมัสการพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ดุจพระเจ้า การทำเช่นนี้ตามบัญญัติ ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาวยิว ถือว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ทว่าเหล่าสาวกเชื่อมั่นว่าพระเยซูคือพระเจ้า จึงฟันฝ่าอุปสรรคขวางกั้นนั้นไปได้

แล้วสาวกสิบเอ็ดคนนั้นไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงกำหนดไว้ เมื่อเขาเห็นพระองค์ จึงกราบนมัสการพระองค์[10]

เขาจึงนมัสการพระองค์ แล้วกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม มีความยินดีเป็นอันมาก[11]

“แล้วรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ดูเถิดพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน ท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดูเถิด เราได้บอกท่านแล้ว” หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งนำความไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ขณะที่หญิงเหล่านั้นไปบอกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จมาพบเขา และตรัสว่า “จงจำเริญเถิด” หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาท และนมัสการพระองค์[12]

สักขีพยานจากผู้ประพันธ์ในพระคัมภีร์ใหม่

ผู้ประพันธ์หนังสือในพระคัมภีร์ใหม่ หลายคนเป็นอัครสาวก ได้บ่งบอกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า

พระคริสต์คือพระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือสิ่งสารพัด จะทรงโปรดอวยพระพรเป็นนิตย์[13]

เริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา[14]

ซีโมน เปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ เรียนท่านที่ได้รับความเชื่ออันประเสริฐอย่างเดียวกันกับเรา โดยความชอบธรรมของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา[15]

คอยความหวังที่ได้รับพร และการปรากฏอันทรงสง่าราศีของพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา[16]

พระเยซูคริสต์ นี่แหละเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และเป็นชีวิตนิรันดร์[17]

โธมัสทูลตอบพระองค์[พระเยซู]ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของข้าพระองค์”[18]

ตัวอย่างสุดท้าย โธมัสเรียกพระเยซูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้า เป็นข้ออ้างอิงที่ทรงพลังที่สุด เพราะโธมัสอธิบายถึงพระเยซูด้วยคำพูดสองคำ ซึ่งทั้งสองคำหมายถึงพระเจ้า พระกิตติคุณของยอห์น เดิมทีเขียนเป็นภาษากรีก ใช้คำกรีกว่า Kyrios (องค์พระผู้เป็นเจ้า) และ Theos (พระเจ้า)

Kyrios เป็นคำแปลจากคำฮีบรู Adonai (องค์พระผู้เป็นเจ้า) ซึ่งชาวยิวใช้แทนที่ YHWH ซึ่งเป็นชื่อที่พระเจ้าเผยต่อโมเสส บนภูเขาไซนาย เนื่องจากชาวยิวไม่กล่าวชื่อ YHWH เขาอ้างอิงถึงพระเจ้าว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าแทน ดังนั้น Adonai (Kyrios) เป็นคำอ้างอิงโดยตรงต่อพระนามของพระเจ้า YHWH

คำว่าพระเจ้าในข้อพระคำนี้ แปลคำภาษาฮีบรู Elohiym เป็นภาษากรีก Theos แปลว่าพระเจ้าเช่นกัน ดังนั้นโธมัสแถลงอย่างแรงกล้าว่าพระเยซูเป็นทั้ง YHWH และ Elohiym เป็นชื่อภาษายิวทั้งสองชื่อ สำหรับพระเจ้า โดยกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า (Kyrios-YHWH) และพระเจ้าของข้าพเจ้า (Theos-Elohiym)”

ตัวอย่างในพระคัมภีร์เดิมที่เรียกพระเจ้าว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า (Adonai) และพระเจ้า (Elohiym) อยู่ในเพลงสดุดี 35:23 ซึ่งมีใจความว่า

ข้าแต่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงร้อนพระทัย ตื่นขึ้นเพื่อเห็นแก่สิทธิของข้าพระองค์ เพื่อเห็นแก่เรื่องของข้าพระองค์เถิด!

พลังจากเบื้องบน

นอกเหนือจากการเรียกพระเยซูว่าพระเจ้า และนมัสการพระองค์เช่นนั้นแล้ว ผู้ประพันธ์ในพระคัมภีร์ใหม่บันทึกไว้ว่าพระเยซูได้ทำอะไร หรือทำอะไรได้บ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทำได้ เริ่มต้นจากการสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง

พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง ในบรรดาสิ่งที่เป็นขึ้นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่ นอกเหนือพระองค์[19]

ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสแก่บรรพบุรุษ ด้วยวิธีต่างๆมากมาย ผ่านพวกศาสดาพยากรณ์ แต่ในวันสุดท้าย พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลาย ผ่านพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างโลกโดยพระบุตร[20]

เพราะว่าโดยพระองค์ สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์[21]

การพิพากษาโทษมนุษย์ในชีวิตภายภาคหน้า เป็นเอกสิทธิ์จากเบื้องบนที่พระเยซูอ้างถึง ข้อเขียนในพระคัมภีร์ใหม่ได้แถลงไว้ด้วย

เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว[22]

ซึ่งเป็นที่แสดงให้เห็นชัดถึงการพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้า ... เมื่อพระเยซูเจ้าจะปรากฏองค์จากสวรรค์ พร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ ในเปลวเพลิง จะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา[23]

ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโฉดเขลาอยู่ พระเจ้าทรงมองข้ามไปเสีย แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้เป็นผู้พิพากษา และพระองค์ได้ให้พยานหลักฐานแก่คนทั้งปวงแล้วว่า ได้ทรงโปรดให้ท่านองค์นั้นคืนพระชนม์[24]

การให้อภัยบาป ก็เป็นเอกสิทธิ์ของพระเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ที่พระเยซูอ้างถึง ซึ่งอัครสาวกประกาศไว้

พระเจ้าทรงตั้งพระองค์ไว้ ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาของ ให้เป็นผู้นำ และพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความผิดบาปของเขา[25]

... พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย[26]

... พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยานที่สัตย์ซื่อ และทรงเป็นผู้แรกที่ได้ฟื้นจากความตาย และผู้ทรงครอบครองกษัตริย์ทั้งปวงในโลก แด่พระองค์ผู้ทรงรักเรา และได้ทรงชำระบาปของเรา ด้วยพระโลหิตของพระองค์[27]

หัวใจของการเป็นคริสเตียน

หัวใจของการเป็นคริสเตียนได้แก่ความเชื่อที่ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ถึงจะเป็นคริสเตียน ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า เมื่อนั้นก็ไม่มีหัวใจของความศรัทธา และศรัทธาของเราก็จะไม่มีมูลฐาน พระเยซูอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพระเจ้า สาวกของพระองค์เชื่อเช่นนั้น ประกาศเช่นนั้น และตั้งกลุ่มคริสเตียนขึ้นมา กว่า 2,000 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปัจจุบันนี้ประกอบด้วยคริสเตียนกว่าสองพันล้านคน ผู้ซึ่งเชื่อในความจริงขั้นพื้นฐานดังกล่าว

พระคัมภีร์ใหม่ป่าวประกาศว่ามีพระเยซูอยู่ก่อนอะไรอื่น และพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา พระองค์ก้าวเข้ามาสู่สิ่งสร้างสรรค์ โดยกลายเป็นมนุษย์ พระองค์ให้อภัยบาป จากการที่พระองค์สิ้นชีวิต และฟื้นคืนชีพขึ้นมา พระองค์นำมาซึ่งความรอดและชัยชนะ เหนือความตาย มหัศจรรย์ของพระองค์ล้วนบ่งบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เช่นเดียวกับการที่พระองค์มีสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา ซึ่งมีเอกลักษณ์พิเศษ คำสอนของพระองค์บ่งบอกเช่นนั้น และการที่พระองค์อ้างสิทธิ์ถึงการพิพากษามนุษย์ ก็ยืนยันถึงข้อนี้

สิ่งที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญประการหนึ่ง ในการงานของพระเยซู ก็คือ เมื่อผู้ติดตามของพระองค์เริ่มเข้าใจว่าพระองค์คือใคร

ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียาฟิลิปปี พระองค์จึงตรัสถามพวกสาวกค์ว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราซึ่งคือบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด” เขาจึงทูลตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่บางคนว่าเอลียาห์ และคนอื่นว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นผู้ใด” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่าเนื้อหนังและโลหิตมิได้เผยความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ทรงเผยให้ทราบ”[28]

เหมือนกับเปโตร เราแถลงถึงความศรัทธาเช่นเดียวกันได้ ว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่เพียงแค่นั้น เราทราบว่าพระองค์คือพระเจ้า นี่คือคำสอนที่เป็นมาตรฐานของคริสเตียน ซึ่งคริสเตียนที่แท้จริงทุกคนเชื่อ เพราะพระองค์คือพระเจ้า พระองค์คือน้ำแห่งชีวิต คือแสงสว่างของโลก คือทิพย์อาหารจากสวรรค์ คือการฟื้นคืนชีพ และชีวิต พระองค์ผู้ให้อภัยบาปของเรา และมอบชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่รับพระองค์ไว้ ผลลัพธ์จากชีวิต ความตาย และการฟื้นคืนชีพของพระองค์ คือของกำนัลล้ำค่าจากพระเจ้า ได้แก่ความรอด


บทสรุป “มนุษย์ผู้เป็นพระเจ้า” ตอนที่หนึ่งและสอง

  • พระเยซูคือพระเจ้า
  • พระเยซูอ้างสิทธิ์อย่างชัดเจนว่าเป็นพระเจ้า ระหว่างที่มีชีวิตในโลก ซึ่งผู้นำศาสนาชาวยิวในสมัยนั้นเข้าใจดี
  • ข้ออ้างอิงเฉพาะเจาะจงที่พระองค์บ่งบอกไว้คือ เราเป็น และบุตรมนุษย์ ซึ่งเป็นชื่อของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม
  • พระองค์อ้างสิทธิ์ถึงพลังจากเบื้องบน อาทิเช่น การพิพากษามนุษย์ และการให้อภัยบาป
  • สาวกของพระเยซูทราบแน่ชัดว่าพระองค์คือพระเจ้า หลังจากที่พระองค์สิ้นใจ และฟื้นคืนชีพ เขาได้เห็นว่าพระองค์บันดาลให้เกิดขึ้น ตามที่กล่าวไว้ในข้อพระคัมภีร์ชาวยิว
  • ข้อเขียนในพระคัมภีร์ใหม่ รวมทั้งอัครสาวกที่อยู่กับพระเยซู และเปาโล ได้บ่งบอกว่าพระเยซูคือพระเจ้า
  • ข้อเขียนในพระคัมภีร์ใหม่ ก่อร่างสร้างพื้นฐานสำหรับคำสอนหลักของคริสเตียน
  • การที่พระเยซูเป็นพระเจ้า คือหัวใจความศรัทธาของเรา ในฐานะคริสเตียน

บรรณานุกรม

บาร์ธ คาร์ล The Doctrine of the Word of God เล่ม 1 ตอนที่ 2 สำนักพิมพ์ Peabody: Hendrickson Publishers ปี ค.ศ.2010

เบอร์คอฟ หลุยส์ Systematic Theology สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Wm. B. Eerdmans Publishing Company ปี ค.ศ.1996

แครีย์ ฟิลลิปส์ The History of Christian Theology ชุดคำบรรยาย คำบรรยายที่ 11, 12 สำนักพิมพ์ Chantilly: The Teaching Company ปี ค.ศ.2008

เคร็ก วิลเลียม เลน The Doctrine of Christ คำบรรยายชุด Defender

กาเร็ตท์ จูเนียร์ เจมส์ ลีโอ Systematic Theology, Biblical, Historical, and Evangelical เล่ม 1 สำนักพิมพ์ N. Richland Hills: BIBAL Press ปี ค.ศ.2000

กรูเด็ม เวย์น Systematic Theology, An Introduction to Biblical Doctrine สำนักพิมพ์ Grand Rapids: InterVarsity Press ปี ค.ศ.2000

ครีฟท์ ปีเตอร์ และ โรนัลด์ เค. แทเซลลี Handbook of Christian Apologetics สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.1994

ลูวิส กอร์ดอน อาร์. และ บรูซ เอ. เดมาเรสต์ Intergrative Theology สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan ปี ค.ศ.1996

มิลเน่ บรูซ Know the Truth, A Handbook of Christian Belief สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.2009

มูลเลอร์ จอห์น ธีโอดอร์ Christian Dogmatics, A Handbook of Doctrinal Theology for Pastors, Teachers and Layman สำนักพิมพ์ St.Louis: Concordia Publishing House ปี ค.ศ.1934

อ็อต ลุดวิก Fundamentals of Catholic Dogma สำนักพิมพ์ Rockford: Tan Books and Publishers, Inc ปี ค.ศ.1960

สต็อต จอห์น Basic Christianity สำนักพิมพ์ Downers Grove: InterVarsity Press ปี ค.ศ.1971

วิลเลียม เจ. ร็อดแมน Renewal Theology Sytematic Theology from a Charismatic Perspective สำนักพิมพ์ Grand Rapids: Zondervan ปี ค.ศ.1996

(The Heart of It All: The God-Man (Part 2).)


[1] มัทธิว 21:9

[2] มาระโก 15:13

[3] ลูกา 24:44-47

[4] ลูกา 24:27

[5] ฟิลิปปี 3:5-6

[6] พระราชบัญญัติ 6:4-5, 13-15

[7] อพยพ 20:2-6

[8] อพยพ 22:20

[9] มัทธิว 14:33

[10] มัทธิว 28:16-17

[11] ลูกา 24:52

[12] มัทธิว 28:7-9

[13] เปาโลกล่าวไว้ในโรม 9:5

[14] ยอห์นกล่าวไว้ในยอห์น 1:1,14

[15] 2 เปโตร 1:1

[16] เปาโลกล่าวไว้ในทิตัส 2:13

[17] ยอห์นกล่าวใน 1 ยอห์น 5:20

[18] ยอห์น 20:28

[19] ยอห์นกล่าวไว้ใน ยอห์น 1:3

[20] เปาโลกล่าวไว้ในฮีบรู 1:1-2

[21] เปาโลกล่าวไว้ในโคโลสี 1:16-17

[22] เปาโลกล่าวไว้ใน 2 โครินธ์ 5:10

[23] เปาโลกล่าวไว้ใน 2 เธสะโลนิกา 1:5,7-8

[24] เปาโลกล่าวไว้ในกิจการ 17:30-31

[25] เปโตรกล่าวไว้ใน กิจการ 5:31

[26] เปาโลกล่าวใน กาลาเทีย 1:3-4

[27] ยอห์นกล่าวใน วิวรณ์ 1:5

[28] มัทธิว 16:13-17