ความซื่อสัตย์สุจริต

พฤษภาคม 27, 2014

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

คุณเห็นคุณค่าการเชื่อมสัมพันธ์และการติดต่อสื่อสารกับผู้คนที่จริงใจ น่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ และรักษาคำพูด ใช่ไหม คนที่พูดจริงทำจริง คนที่คุณบอกเล่าเรื่องส่วนตัวและเขาเก็บไว้เป็นความลับ ผมชอบคนเช่นนี้ ผมชอบผูกมิตร ร่วมงาน หรือทำธุรกิจกับคนแบบนี้ เพราะผมทราบว่าไว้วางใจเขาได้ แน่นอนว่าไม่มีใครเพียบพร้อม แม้แต่คนที่น่าไว้วางใจ ก็พลาดพลั้งเป็นครั้งคราว ทว่าผมมีสันติสุข เมื่ออยู่กับคนที่มีนิสัยใจคอดี คนที่ซื่อสัตย์สุจริต ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหลักการที่เขายึดมั่น แม้แต่ในยามที่ทำได้ยาก

ก่อนหน้านี้มีคนอยากให้ผมจ้างเขามาทำงานซ่อมแซมที่จำเป็น เขาบอกผมว่างานนี้ถ้าใช้วิธีแบบหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้วจะส่งผลที่ปลอดภัย หรืออีกวิธีหนึ่งอาจดูดี ทว่าในบั้นปลายจะก่อผลเสียแก่ใครบางคน เขาบอกว่าถ้าผมต้องการให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย เขายินดีทำให้ ถ้าไม่เช่นนั้น ผมต้องไปหาคนอื่นมาทำแทน ธุรกิจเชื่องช้า และเขาต้องการงาน แต่เขาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขามีมาตรฐานซึ่งจะไม่ประนีประนอม ผมจึงจ้างเขาทันที ความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญต่อเขายิ่งกว่างานหรือเงิน ความซื่อสัตย์สุจริตของเขาไม่ใช่ของซื้อของขาย

ความซื่อสัตย์สุจริตหมายถึงการยึดพื้นฐานจากหลักจรรยาที่แน่นอน ซึ่งเป็นมาตรฐานการกระทำของคุณ สำหรับคริสเตียน มาตรฐานคือพระคำของพระเจ้า (ถึงแม้ว่าความซื่อสัตย์สุจริตไม่ได้จำกัดอยู่ที่คริสเตียนเท่านั้น แต่ผมขอกล่าวจากมุมมองของคริสเตียน) เมื่อเรารู้พระคำ เราล่วงรู้สิ่งที่พระองค์เผยให้เห็นเกี่ยวกับพระองค์เอง รวมถึงคุณสมบัติและวิสัยของพระองค์ เราจึงทราบว่าสิ่งที่พระองค์บอกเรานั้นมีความสำคัญต่อพระองค์ เราจึงพยายามดำเนินชีวิตในแง่ที่สะท้อนถึงสิ่งที่พระองค์บอกว่ามีความสำคัญ เราเชื่อในค่านิยมของพระองค์ เรารับไว้เป็นค่านิยมในใจเราเอง เราพยายามปรับให้ค่านิยมในใจเราสอดคล้องกับถ้อยคำและการกระทำภายนอกอย่างต่อเนื่อง

เราทราบจากพระคำว่าพระเจ้าเห็นคุณค่าความซื่อสัตย์สุจริต ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความเที่ยงตรง การรักษาคำพูด และความไว้วางใจ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์ คือ ผู้ที่ดำเนินในความซื่อสัตย์สุจริต ประพฤติตามความชอบธรรม และพูดความจริงจากใจของตน[1] เมื่อความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นมาตรฐานของเรา ก็จะชี้นำการกระทำของเรา ความซื่อสัตย์ของคนที่เที่ยงธรรมย่อมนำทางเขา...[2]

คำฮีบรูในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งแปลว่า ซื่อสัตย์สุจริต บางครั้งแปลว่า ครบถ้วนสมบูรณ์ ซื่อตรง ดีพร้อม ปราศจากตำหนิ จริงใจ เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ที่บกพร่อง ไม่มีใครดีพร้อม ทว่าในฐานะผู้มีความเชื่อ เราก็ต้องการทำสุดความสามารถเพื่อดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับค่านิยมของพระเจ้า ซึ่งยังผลให้ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งพูดง่ายแต่ทำยาก เราทุกคนต่างก็ถูกล่อใจให้ทำผิดหลักจรรยา ไม่ซื่อสัตย์ ตัดสินใจโดยยึดจากสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเรา แทนที่จะยึดจากสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือวิสัยของมนุษย์ อันเป็นผลจากสภาพตกอับ[3] ในฐานะผู้มีความเชื่อที่พยายามดำเนินชีวิตตามความศรัทธา เราได้รับความท้าทายให้ทะยานขึ้นไป ด้วยความปรานีของพระเจ้า จนเหนือวิสัยที่ชอบทำบาป

เราได้รับมอบหมายให้ดำเนินชีวิตด้วยค่านิยมตามแบบอย่างของพระเจ้า ซึ่งเรารับไว้เป็นส่วนตัว และต่อหน้าผู้อื่น เราควรจะตัดสินใจหรือกระทำเช่นเดียวกัน เมื่อไม่มีใครรู้เห็น หรือในยามที่มีคนรู้เห็น ความซื่อสัตย์สุจริต คือ การเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพราะมีคนเห็น ทว่าเรามีปณิธานที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือปณิธานในใจ แทนที่จะยึดจากสภาพการณ์ภายนอก สิ่งที่ถูกต้องก็คือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ สิ่งที่ผิดก็คือสิ่งที่ผิด ถึงแม้ว่าไม่มีใครรู้เห็น

การเลือกความซื่อสัตย์สุจริตจะส่งผลคุ้มค่าเสมอในระยะยาว การทำผิดอย่างลับๆ บ่อยครั้งกรรมจะตามทันในบางแง่ ไม่ช้าไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นผลที่มองเห็นได้ หรือผลเสียต่อดวงวิญญาณ ต่อสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้า และความสัมพันธ์ของเรา

เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้จะไม่เปิดเผยออกมา หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัดซึ่งท่านกล่าวในที่มืด จะได้ยินในที่สว่าง และสิ่งที่กระซิบในที่ห้องส่วนตัว จะป่าวประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน[4]

เหตุใดความซื่อสัตย์สุจริตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้ที่น่าไว้วางใจหรือน่าเชื่อถือ นี่ส่งผลต่อคุณโดยส่วนตัว ส่งผลต่ออาชีพ ต่อชีวิตทางสังคม และทางวิญญาณ นี่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ว่าคุณเป็นใคร นี่บ่งบอกถึงนิสัยใจคอของคุณ วิศวกรผู้มีชื่อเสียง และผู้ประพันธ์ ชื่อ บัคมินสเตอร์ ฟูลเลอร์ (ค.ศ. 1895-1983) กล่าวว่า “ความซื่อสัตย์สุจริตคือแก่นแท้ของทุกสิ่งที่ประสบความสำเร็จ” ซิก ซิกล่าร์ บ่งบอกถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์สุจริตไว้ในทำนองเดียวกันว่า “ความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญอย่างสิ้นเชิง ต่อความสำเร็จในชีวิต ...และชีวิตทุกด้าน”

พฤติกรรมของเราคือผลจากทางเลือกที่เราตัดสินใจ เมื่อเราตัดสินใจเลือกโดยยึดค่านิยม แทนที่จะยึดสิ่งที่ให้ผลประโยชน์ต่อเรา เราก็มีความซื่อสัตย์สุจริต ความซื่อสัตย์สุจริตต้องอาศัยการมีวินัยในตนเอง โดยการตัดสินใจยึดสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่สะดวกที่สุด หรือให้ผลประโยชน์ต่อเรามากที่สุดในขณะนั้น เป็นการตั้งเข็มทิศศีลธรรมไปในทิศทางความจริง ได้แก่ค่านิยมของพระเจ้า แล้วตั้งปณิธานที่จะทำตามนั้น ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร การดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คือการดำเนินชีวิตตามค่านิยม แม้ว่าจะต้องเสียผลประโยชน์ มีบางครั้งที่จะเสียผลประโยชน์ บางครั้งคุณให้คำมั่นสัญญา แล้วสภาพการณ์เปลี่ยนไป ทำให้การรักษาคำพูดเป็นเรื่องยาก หรือต้องเสียค่าแลกเปลี่ยน ทว่าคุณจะทำตามนั้น เพราะคุณ“ให้คำมั่นสัญญา”ไว้แล้ว เมื่อตอบ “ใช่” ก็หมายถึงใช่ และ “ไม่” ก็คือไม่[5] ความซื่อสัตย์สุจริตคือการรักษาคำพูด

การมีความซื่อสัตย์สุจริต คือ การทราบค่านิยมด้านศีลธรรมของตน และตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามนั้น ความซื่อสัตย์สุจริตขาดหายไป เมื่อคำพูดของคุณไม่สอดคล้องกับการกระทำ เมื่อคุณพูดอย่างหนึ่ง และทำอีกอย่างหนึ่ง เมื่อการกระทำขัดแย้งกับค่านิยมของคุณ (คือค่านิยมของพระเจ้า) ค่านิยมของเราเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ เมื่อเราพบว่าตัวเองขาดความซื่อสัตย์สุจริตในด้านพฤติกรรม นี่บ่งบอกว่าค่านิยมแท้จริงของเรา อาจไม่เป็นเหมือนที่เราคิดหรือเอ่ยอ้าง เราอาจยึดถือค่านิยมที่ไม่สอดคล้องกับพระคำหรือความประสงค์ของพระเจ้า ในฐานะคริสเตียน เราควรจะพยายามวัดการตัดสินใจ ทางเลือก ถ้อยคำ และการกระทำ ด้วยค่านิยมที่พระเจ้าเผยให้เห็นผ่านข้อพระคัมภีร์ สรุปแล้วก็เพื่อให้ค่านิยมของเราสอดคล้องกับของพระองค์ 

มีนิสัยซื่อสัตย์สุจริต

การตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกทางที่ดีได้ง่ายขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก เมื่อคุณตั้งปณิธานที่จะนำทางชีวิตตามค่านิยมของพระเจ้า คุณก็จะต้องไม่ดิ้นรนมากนักกับจิตสำนึก แต่ละครั้งที่คุณเผชิญหน้ากับทางเลือก ว่าควรทำสิ่งที่ถูกหรือผิด ส่วนใหญ่ทางเลือกเช่นนั้นถูกตัดสินไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะปณิธานของคุณ ถ้าคุณเผชิญหน้ากับโอกาสที่จะเอาบางสิ่งที่ไม่ใช่ของคุณ ทำบางสิ่งที่คุณทราบว่าไม่ควรทำ โกหกหลอกลวง พูดไม่ดีเกี่ยวกับใคร ซุบซิบนินทา ละเมิดข้อตกลง ไม่สัตย์ซื่อต่อคู่ครอง คุณก็มีคุณสมบัติด้านศีลธรรมที่จะเลือกไม่ทำ ถึงแม้ว่าถูกล่อใจ เพราะการทำเช่นนั้นฝ่าฝืนค่านิยมที่คุณมุ่งมั่นจะดำเนินชีวิตตาม

ความซื่อสัตย์สุจริตไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ทว่าเป็นสิ่งที่พัฒนาด้วยสำนึก คุณเริ่มต้นโดยตัดสินใจดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และตั้งปณิธานที่จะทำตามนั้น คุณตัดสินใจว่าคุณมีค่านิยมเช่นไร คุณยืนหยัดเพื่อสิ่งใด และคุณปฏิญาณที่จะดำเนินชีวิตตามมาตรฐานดังกล่าว เมื่อปฏิญาณเช่นนั้นแล้ว คุณก็พยายามเสริมสร้างมติของคุณในการทำเช่นนั้น คุณจะถูกล่อใจให้ประนีประนอม ทว่าคุณจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูก ทั้งๆ ที่สถานการณ์เป็นเหตุให้คุณรู้สึกอยากทำอย่างอื่น คุณจะค่อยๆ เสริมสร้างนิสัยการทำตามจรรยาบรรณ การที่คุณปณิธานต่อค่านิยมของคุณไว้ก่อน ช่วยให้ตัดสินใจเลือกทำตามจรรยาธรรมได้ง่ายขึ้น และรู้สึกถูกล่อใจน้อยลงที่จะประนีประนอมความเชื่อมั่น

การตัดสินใจมีความซื่อสัตย์สุจริตช่วยให้เราอยู่ในสถานะที่จะเอื้อมถึงเป้าหมาย ในแง่ที่เราไม่ต้องละอายใจ เมื่อเกี่ยวข้องกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ในชีวิต การเดินทางไปสู่เป้าหมายก็สำคัญพอๆ กับการไปถึงเป้าหมาย ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ แต่เอาเปรียบผู้อื่น ฉวยสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ขาดจรรยาบรรณ หรือทำให้คนอื่นเจ็บช้ำ เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของเรา เมื่อนั้นเราก็เป็นคนหลอกลวงและไร้เกียรติ เราอาจได้สิ่งที่ต้องการ ทว่าขั้นตอนที่ได้มานั้นทรยศต่อค่านิยม นิสัยใจคอ และศรัทธาของเรา ในฐานะมนุษย์ เราสามารถคิดหาเหตุผลในใจว่าผลลัพธ์บั้นปลาย ควรค่ากับสิ่งที่ต้องยอมแลก ทว่าการทำตามแนวคิดเช่นนั้น เราจะพบว่าเราทิ้งจรรยาบรรณไว้เบื้องหลัง การกระทำของเราจะขาดศีลธรรม ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าและผู้อื่นจะต้องเสื่อมเสีย

ผู้คนที่ทำลายชีวิตเขาและชีวิตผู้อื่นอย่างรุนแรง เพราะผิดศีลธรรม โดยทั่วไปแล้วไม่ใช่ว่าจู่ๆ เขาก็ตัดสินใจที่จะขาดจรรยาบรรณครั้งใหญ่ การตัดสินใจเช่นนี้มักจะเริ่มต้นในเรื่องเล็กน้อย อาจจะเป็นชีวิตวัยเยาว์ ด้วยการหลีกเลี่ยงความจริง การโกหกด้วยเจตนาดี การหยิบฉวยของเล็กน้อยที่ไม่ใช่ของตน การโกงข้อสอบ หรือเรื่องอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะผิด แต่ดูเหมือนไม่ใช่ความผิดมหันต์ การฝ่าฝืน“เล็กน้อย” มีข้ออ้างว่าไม่แย่นัก และไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้บุคคลผู้นั้นไร้เกียรติ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าว เมื่อทำครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ก่อร่างเป็นนิสัยที่เลิกได้ยาก มาตรฐานด้านศีลธรรมก็ลดลง สิ่งที่เขาถือว่าเป็นจรรยาบรรณและซื่อสัตย์ เริ่มลางเลือน เมื่อเริ่มเดินไปบนเส้นทางนี้แล้ว ก็ง่ายขึ้นที่จะแก้ตัวหรือหาเหตุผลสำหรับการโกหกครั้งใหญ่ขึ้น แม้แต่การกระทำที่ขาดจรรยาบรรณมากขึ้น ความเชื่อมั่นที่จะดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตก็ลดน้อยถอยลง เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาจึงกลายเป็นคนที่ไร้เกียรติ

การประนีประนอมเพื่อละเมิดในเรื่อง“เล็กน้อย” มีค่าแลกเปลี่ยน นี่จะส่งผลต่อดวงวิญญาณและการดำเนินชีวิตกับพระองค์ ถ้าอะไรเป็นสิ่งที่ผิด การทำผิดเล็กน้อย ก็ไม่ได้ทำให้ถูกต้อง ผิดก็คือผิด ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อคุณเสริมสร้างนิสัยที่จะสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งคุณทำมากขึ้น ก็ยิ่งทำได้ง่ายขึ้น ผลจากการตัดสินใจเป็นประจำทุกวัน คือสิ่งที่ประกอบกันเป็นตัวคุณ คุณเป็นผู้ควบคุมชีวิตคุณ คุณรับผิดชอบต่อการตัดสินใจเป็นส่วนตัว และผลที่ตามมา 

ต้านทานการล่อใจ

เราแต่ละคนถูกล่อใจให้ทำสิ่งที่ผิด พวกเราส่วนใหญ่คงไม่เคยคิดที่จะขโมยเงินใคร ทว่าเราอาจมีแนวโน้มที่จะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า สักหนึ่งหรือสองชั่วโมงระหว่างที่ทำงาน ถ้ารอดตัวไปได้ เราได้ค่าจ้างการทำงานในช่วงเวลานั้น ถ้าจะว่ากันไป การที่เราไม่ทำงาน เราก็รับเงินที่ไม่ได้หามา หรือเราอาจเอาอุปกรณ์ออฟฟิศจากที่ทำงานหรืออะไรในทำนองนั้นมาใช้ โดยไม่รู้สึกแย่มากนัก แต่การทำเช่นนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็คือการขโมย ง่ายและชัดเจน การที่จะต้านทานสิ่งล่อใจเช่นนั้นได้ คงมีส่วนช่วยถ้าคุณนึกภาพการกระทำของคุณในแง่ที่ประจักษ์ชัดมากขึ้น นึกภาพตัวเองแอบเข้าไปในออฟฟิศเจ้านาย ขโมยเงินค่าจ้างสองชั่วโมงจากกระเป๋าเงินของเขา คุณคงไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่นอน! อย่างไรก็ตาม การเสียเวลาสองชั่วโมงที่เจ้านายจ่ายค่าจ้างให้คุณ ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะหาเหตุผลมาอ้างได้ง่ายกว่า

หลักเกณฑ์ที่ดี คือ ถ้าคุณจะไม่ทำอะไรต่อหน้าลูก คู่ครอง หรือคนที่คุณรักและเคารพ นั่นก็คงเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรทำเลย ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องปิดปังการกระทำของคุณ ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าคุณไม่ได้ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

บ่อยครั้งผมตกใจกับความเห็นที่บางคนโพสต์ทางอินเตอร์เน็ต เป็นข้อความนิรนามที่เชือดเฉือน โวยวาย และเพ้อเจ้อ โดยการเขียนเรื่องเลวร้ายที่ทำให้เจ็บช้ำ ผมสงสัยว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้ไหม ถ้าเขาต้องพูดต่อหน้าบุคคลนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลอื่นนอกเหนือไปจากผลลัพธ์ที่ว่า เขาคงโดนชกหน้าหรือโดนหนักยิ่งกว่านั้น การเขียนโพสต์ที่เผ็ดร้อนจากสถานที่ส่วนตัวในบ้านของเขา ก็คล้ายกับการทำผิดอย่างลับๆ เขาคงไม่มีวันพูดหรือทำอะไรเช่นนั้นต่อหน้าใคร เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน ทว่าความจริงก็คือ ถ้าผู้คนทำอย่างไร เขาก็เป็นคนแบบนั้น หรือจะกลายเป็นคนแบบนั้น มีส่วนช่วยได้ที่จะจำไว้ว่า พระองค์คอยจับตาอยู่ทุกแห่งหน เฝ้าดูคนชั่วและคนดี[6]

สิ่งหนึ่งที่ควรระลึกก็คือ เมื่อเราอยู่ใกล้คนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต อาจมีแรงชักจูงต่อพฤติกรรมและศีลธรรมของเรา ตัวอย่างของคนที่ขาดศีลธรรม อาจมีแนวโน้มมากขึ้นที่เราจะทำตามในลักษณะคล้ายคลึงกัน แน่นอนกว่าการใช้เวลากับผู้ที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมต่ำกว่าคุณ ไม่ได้หมายความว่ามาตรฐานของคุณจะต่ำลงโดยอัตโนมัติเสมอไป ทว่าคงยากขึ้นที่คุณจะรักษามาตรฐานสูงกว่า ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น

มีความสำคัญเป็นพิเศษที่จะตระหนักว่าความซื่อสัตย์สุจริตและแบบอย่างของคุณ อาจส่งผลในแง่บวกหรือแง่ลบต่อคนอื่น เมื่อคุณเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ หรือเป็นที่เคารพนับถือ ในฐานะผู้ปกครอง ศิษยาภิบาล หรือผู้นำทางจิตวิญญาณ ครูอาจารย์ โค้ช บุคคลสาธารณะ ฯลฯ คุณก็เป็นแบบอย่างต่อผู้อื่น เขาจะยกย่องคุณ และทำตามแบบอย่างของคุณ ดังนั้นคุณจึงมีความรับผิดชอบมากขึ้นที่จะประพฤติตัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในฐานะคริสเตียน การขาดความซื่อสัตย์สุจริตอาจมีผลเสียต่อการที่จะบอกเล่าพระกิตติคุณกับผู้อื่น ถ้าเราประกอบธุรกิจโดยที่ขาดจรรยาบรรณ ถ้าชีวิตเราไม่ค่อยมีความซื่อสัตย์สุจริต ก็อาจทำให้ข่าวสารที่เราแบ่งปันดูเหมือนไม่จริง นี่ไม่ได้สะท้อนถึงเราเท่านั้น ทว่าสะท้อนถึงพระเยซูด้วย 

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอย่างไร

ความซื่อสัตย์สุจริตคือการดำเนินชีวิตตามหลักในพระคัมภีร์ คือการทำตัวซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไว้วางใจได้ น่าเชื่อถือ มีเกียรติ และรักษาคำพูด คือการกระทำหรือพูดจาแบบโปร่งใส ราวกับว่าคนที่คุณรักเคารพเฝ้าดูอยู่ ไม่ใช่การพูดจาเชิงลบเกี่ยวกับคนอื่น หรือการนินทา คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่คุณอยากให้เขาปฏิบัติต่อคุณ คือการดำเนินชีวิตอย่างมีเกียรติและน่าเคารพนับถือ 

เมื่อคุณดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ก็มีผลประโยชน์เพิ่มพูนนานัปการ ได้แก่

  • เมื่อพิสูจน์ว่าคุณน่าไว้วางใจ คุณก็จะได้รับการไว้วางใจจากผู้คน นี่เป็นองค์ประกอบที่สร้างเสริมหรือบ่อนทำลายชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงานของคุณได้
  • คุณจะได้รับความเชื่อมั่นและความเคารพนับถือจากผู้คน คุณจึงมีโอกาสมากขึ้นที่จะกลายเป็นแรงชักจูงเชิงบวกต่อเขา และเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของเขา
  • คุณจะมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างแน่นแฟ้นขึ้น ก่อเกิดประโยชน์มากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และให้ความพึงพอใจมากขึ้น
  • ผู้คนมีแนวโน้มที่จะรับฟังคุณมากขึ้น
  • เนื่องจากผู้คนไว้วางใจคุณ เขาจะไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของคุณ
  • คนอื่นจะเปิดใจกับคุณอย่างเป็นกันเอง เพราะรู้ว่าคุณจะเก็บสิ่งที่เขาบอกเล่าไว้เป็นความลับ
  • คุณจะได้สัมผัสกับความสันติสุขมากขึ้นในชีวิตคุณ
  • พระเจ้าจะอวยพรคุณ 

เมื่อเราตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามค่านิยมด้านศีลธรรม ก็สำคัญที่จะเตือนใจตนเองถึงสิ่งนี้เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายทางศีลธรรม จะมีบางครั้งเมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทางเลือกหนึ่งอาจดูมีผลประโยชน์ อาจเป็นบางสิ่งที่เราต้องการหรืออยากทำ อาจนำมาซึ่งบำเหน็จรางวัลหรือความพึงพอใจ แต่เรารู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ค่อยถูกต้อง ถึงแม้เราจะรู้ว่าไม่ถูกต้อง เราอาจถูกล่อใจอย่างมาก ในยามเช่นนี้ เราจำเป็นต้องเสริมสร้างมาตรฐานที่ตั้งปณิธานไว้ เราทำเช่นนี้ได้ โดยการเตือนใจตนเองถึงค่านิยมของเรา ด้วยการอธิษฐาน การอ่าน หรือเอ่ยอ้างพระคำของพระเจ้า หรืออะไรก็ตามที่ช่วยเราให้เชื่อมโยงกับมาตรฐานของเราอีกครั้ง และยืนยันถึงปณิธานที่มีต่อมาตรฐานนั้น

เพื่อเป็นมาตรการป้องกัน การเชื่อมโยงอย่างสม่ำเสมอกับมาตรฐานที่เป็นหลักพื้นฐาน คือ ค่านิยมของพระเจ้า ดังที่บ่งบอกไว้ในพระคำ เป็นวิธีเสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริตของเราอย่างต่อเนื่อง การอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ การอธิษฐาน และเชื่อมสัมพันธภาพกับพระองค์ ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราใกล้ชิดพระองค์ยิ่งขึ้น ทว่าเสริมสร้างมติของเราที่จะดำเนินชีวิตตามค่านิยมของพระองค์ โดยถือว่าค่านิยมนั้นเป็นค่านิยมของเราเอง และซื่อตรงต่อค่านิยมดังกล่าว

เราควรจะทำอย่างไร ถ้าเราปล่อยให้มาตรฐานด้านศีลธรรมตกต่ำลง จะเป็นยังไงถ้าเราพลาดพลั้งไปชั่วครู่ชั่วยาม ในการดำเนินชีวิตตามค่านิยมของเรา หรือแม้แต่ไม่ใส่ใจมานานแล้ว บางทีเราอาจรู้สึกว่าเหินห่างไปมากจากค่านิยมของพระเจ้า จนไม่รู้ว่าจะกลับมาเชื่อมโยงอีกครั้งได้หรือเปล่า ข่าวดีก็คือ เราหันไปหาพระองค์ได้ เราสารภาพบาป เชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์และความจริงของพระองค์อีกครั้ง เราฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ เราแสวงหาความช่วยเหลือและพละกำลังจากพระองค์ เพื่อหันเหชีวิตกลับมา และสร้างความซื่อสัตย์สุจริตขึ้นมาอีกครั้ง

มีแบบอย่างร่วมสมัยมากมายของผู้คนที่ขาดจรรยาบรรณและไร้ความซื่อสัตย์สุจริต บางคนลงเอยด้วยการติดคุก แต่แล้วก็หันเหชีวิตและกลายเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่ง ในชุมชนหรือประเทศของเขา บางครั้งเราต้องชดใช้ผลเสียหายที่เกิดจากการที่เราขาดความซื่อสัตย์สุจริต โดยการตอบแทน รวมทั้งยอมรับว่าเราทำผิด และขออภัย แล้วก็พยายามฟื้นฟูความไว้วางใจและความสัมพันธ์กลับคืนมา มีค่าแลกเปลี่ยนในการแก้ไขผลเสียหายเช่นนั้น ทว่าคุ้มค่า มีผลประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์กับความรักของพระเจ้าอีกครั้ง และปรับค่านิยมของเราให้สอดคล้องกับของพระองค์ ผลประโยชน์จะควรค่ากับความพยายามที่ต้องทุ่มเทให้

ในฐานะมนุษย์ ความซื่อสัตย์สุจริตคือส่วนสำคัญในชีวิตและความสัมพันธ์ของเรา ในฐานะคริสเตียน ก็มีเพิ่มอีกมิติหนึ่ง ถ้าเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เมื่อเราบอกเล่าถึงพระกิตติคุณกับผู้อื่น ก็มีข่ายว่าเขาจะรับฟังมากขึ้น เพราะแบบอย่างของเราจะชี้ให้เห็นว่าเราดำเนินชีวิตและเชื่อตามที่เราบอกกล่าวด้วย ความซื่อสัตย์สุจริตสำคัญอย่างยิ่งต่องานมอบหมายเพื่อแบ่งปันพระเยซูกับผู้อื่น การดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตคือกุญแจสำคัญต่อชีวิตที่ดีขึ้น อนาคตที่ดีขึ้น และนิรันดร์กาลที่ดีขึ้น 

ข้าแต่พระเจ้า ผู้ใดจะได้พักพิงในสถานนมัสการของพระองค์ ผู้ใดจะได้อาศัยบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ ผู้ที่ดำเนินในความเที่ยงธรรม ประพฤติชอบธรรม และพูดความจริงจากใจ ผู้ซึ่งไม่ใช้ลิ้นของตนนินทาว่าร้าย ไม่กระทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน และไม่ตำหนิเพื่อนบ้านของตน ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นคนที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เขาให้เกียรติผู้ที่ยำเกรงพระเยโฮวาห์ เมื่อให้คำสัตย์ปฏิญาณแล้ว ต้องพบกับความปวดร้าว เขาก็ไม่กลับคำ เขาเป็นผู้ที่มิได้ให้คนอื่นกู้เงินโดยคิดดอกเบี้ย และไม่ยอมรับสินบนปรักปรำผู้ไร้ความผิด ผู้ซึ่งกระทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิจ[7]


[1] เพลงสดุดี 15:1-2

[2] สุภาษิต 11:3

[3] เป็นที่เข้าใจสืบทอดกันมาว่า เดิมทีมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาในสภาพที่สุจริต แต่หลังจากที่มนุษย์ตกอับจากการทำบาป เพราะการตกอับของอาดัม มนุษย์ก็หมดสภาพที่สุจริต และลงเอยด้วยสภาพที่ทุจริต ดังนั้นสภาพดั้งเดิมที่สุจริตและปราศจากบาปจึงหมดไป ... ในสภาพที่สุจริต มนุษย์สามารถที่จะไม่ทำบาป มนุษย์สามารถต่อต้านเครื่องล่อใจ ทำสิ่งที่ชอบธรรม มีศรัทธาแรงกล้าที่สอดคล้องกับความประสงค์ของเขา คือความประสงค์ที่จะมีความสุจริต ฉะนั้นจึงสามารถที่จะไม่ทำบาป ทว่าในสภาพที่ทุจริต มนุษย์หมดความสามารถที่จะไม่ทำบาป เขาเลือกทำบาปต่างๆ ได้ แต่เขาตกอับ ฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะไม่ทำบาป (คัดย่อจาก  William Lane Craig—Doctrine of Man, Part 10.)

[4] ลูกา 12:2-3

[5] พี่น้องทั้งหลาย ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด อย่าสาบาน ไม่ว่าจะอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก ไม่ว่าจะโดยคำสาบานอื่นใดก็ตาม แต่ที่ควรว่า “ใช่” ก็จงว่าใช่ ที่ควรว่า “ไม่” ก็จงว่าไม่ เกรงว่าท่านจะต้องถูกลงโทษ (ยากอบ 5:12)

[6] สุภาษิต 15:3

[7] เพลงสดุดี 15