ชีวิตที่มีความหมาย: แทบไม่มีอะไรเลย หรือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

พฤษภาคม 27, 2011

โดย มาเรีย ฟอนเทน

แม่อธิการเทเรซาเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้อยคำจากใจกรุณาอาจสั้นๆ และบอกกล่าวได้ง่าย ทว่าก้องกังวานอยู่ในใจผู้อื่นอย่างไม่รู้สิ้นสุด” จริงทีเดียว! ถ้อยคำง่ายๆไม่กี่คำ กล่าวโดยผู้ที่ไม่วางตัวโอ้อวด ทว่าเปี่ยมด้วยพระวิญญาณและความรักของพระองค์ ก็ส่งผลในแง่ที่จับต้องได้ และมีพลัง ชั่วชีวิตผู้ที่ได้รับการบอกกล่าวเช่นนั้น

ในหลายสถานการณ์ ถ้าเราลองนึกดู เราอาจกล่าวถ้อยคำง่ายๆจากใจกรุณา ซึ่งจะส่งผลเพิ่มพูนต่อผู้คนที่เราได้พบปะในวันนั้นๆ มีส่วนช่วยได้ถ้าเรานึกถึงล่วงหน้าสักหน่อย

คุณบอกกล่าวอะไรได้บ้างในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งคุณอาจประสบพบพาน กับเพื่อนผู้ที่ยุ่งยากใจ เด็กน้อย เจ้านาย ครูอาจารย์ ใครสักคนผู้มีรอยยิ้มสวยๆ หญิงชราผู้สูงวัยอย่างสง่างาม ยามรักษาความปลอดภัยรอบดึก คนสวน คนกวาดถนน คนขายของ คนทำความสะอาดบ้าน

ถ้อยคำห่วงใยไม่กี่คำส่งผลได้มากมาย ซึ่งอาจช่วยให้กำลังใจใครสักคน แม้แต่ช่วยเปลี่ยนนิสัยไม่ดี หรือเลิกสิ่งที่เคยติดงอมแงม

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง

หญิงผู้ซึ่งทำงานกับสายการบินใหญ่แห่งหนึ่ง สังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่ห้องโถงและห้องนั่งเล่นเป็นครั้งคราว เขาแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย และมีกลิ่นบุหรี่คลุ้ง วันหนึ่งขณะที่หยุดพัก เธอเห็นเขายืนอยู่ใกล้ๆประตู

“ทำไมสูบบุหรี่ จะเป็นมะเร็งนะ” เธอมีน้ำเสียงที่ไม่ก้าวร้าว แค่อยากรู้

“ติดมาจากสมัยเรียนมัธยมปลายครับ”

“มัธยมปลายเหรอ เธออายุเท่าไร”

“สิบเก้าครับ”

“งั้นก็สูบมาแค่สองสามปี เธอเลิกได้นะ”

“คิดว่าได้หรือครับ”

เธอพยักหน้า แล้วก็จบการสนทนา เธอพบเจอเขาเป็นครั้งคราวในช่วงหลายเดือนต่อมา เธอถามเขาว่าเลิกบุหรี่ได้หรือยัง และบ่งบอกว่าเป็นห่วงเขา เธอจบคำสนทนาเสมอว่า “น้าเป็นห่วงเธอ” วันหนึ่งเธอถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง ว่าเป็นยังไงบ้าง เขาชื่อเกร็ก

เขาตอบว่า “เมื่อวานนี้เครียดมาก ผมสูบบุหรี่มวนหนึ่ง แค่มวนเดียวครับ”

“มวนเดียว เธอเลิกแล้วเหรอ”

“ผมไม่ได้สูบบุหรี่มาหลายอาทิตย์แล้วครับ ขอบคุณที่คอยรับฟัง และห่วงใยผมครับ”

ทัศนคติของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะมีคนห่วงใยเขา[1]

อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันได้ยินเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งสร้างความประทับใจอย่างสุดซึ้ง เป็นเรื่องชีวิตคู่ที่เปลี่ยนจากดีเป็นแย่มาก แทบชั่วข้ามคืน และกลับคืนสู่เส้นทางการสมานรอยร้าว ด้วยถ้อยคำง่ายๆไม่กี่คำ

สามีตกงาน ไม่นานก็เริ่มหงุดหงิด พูดจาถากถาง และใจร้าย ฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้ให้การเกื้อหนุนเท่าที่ควร เธอไม่ตระหนักว่าการตกงานทำให้ฝ่ายชายหมดความนับถือตัวเอง โดยไม่ต้องเอ่ยถึงความหนักใจจากภาระการเงินที่มีต่อครอบครัว เขารู้สึกผิดหวัง ขุ่นเคืองใจ และอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นทุกที สภาพการณ์แย่มาก จนดูเหมือนว่าจะต้องหย่าร้างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเริ่มดื่มเหล้า กลับดึกทุกคืน และใช้จ่ายเงินเล็กน้อยที่เหลืออยู่

คืนวันหนึ่ง ขณะที่เธอนั่งรอให้เขาเดินกระทืบเท้าออกไปยังบาร์ที่มุมถนน เธอนั่งโมโหอยู่ที่โต๊ะในครัว ขณะเดียวกันเธอก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาในใจ ซึ่งเร่งเร้าให้เธอบอกเขาว่าเธอยังคงรักเขาอยู่ เธอรักเขา แต่เธอไม่ชอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และความปวดร้าวต่างๆที่ควบคู่มาด้วย เธอแทบไม่มีกะจิตกะใจทำเช่นนั้น แต่เธอตัดสินใจว่า เมื่อเขาลงบันไดมา ก่อนออกจากบ้านไป เธอจะบอกเขาว่าเธอยังรักเขาอยู่ นี่ยากเย็นจริงๆสำหรับเธอ ที่จะบอกกล่าวถ้อยคำนั้น เขาเกือบออกประตูไปแล้ว ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากว่า “ฉันยังรักคุณนะ”

เขาหยุดชะงัก หันกลับมาหาเธอ คุกเข่าลง และถามด้วยหัวใจแตกสลายว่า “คุณยังรักผมเหรอ”

น้ำตาไหลอาบแก้เขา เธอเริ่มร้องไห้ ขณะที่โอบกอดกัน บ่งบอกถึงความรักที่มีต่อกัน และขออภัยกัน

ถ้อยคำสี่คำกอบกู้ชีวิตคู่ของเขาไว้ และ ... สามีของเธอด้วย เพราะเขากำลังจะออกจากบ้านไปจบชีวิต

มีเรื่องราวสักขีพยานอีกเรื่องหนึ่ง จากชายชื่อ ริชาร์ด นอร์ธ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าถ้อยคำสั้นๆ ส่งผลมหาศาลต่อชีวิตใครสักคน อันที่จริงแล้ว ส่งผลต่ออีกหลายๆชีวิตด้วย

ผมเป็นครูวัยสามสิบห้าปี ผมสอนหนังสือมาเกือบสิบปีแล้ว ผมคิดที่จะเลิกสอน และเริ่มมองหาอาชีพใหม่ ไฟอุดมการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจ ตอนที่เริ่มสอน ค่อยๆมอดลง จนระยะหลังๆนี้ ผมนึกสงสัยบ่อยขึ้นว่าทำไมถึงเลือกอาชีพสอนหนังสือ ผมรู้สึกว่าได้ทุ่มเทให้กับงานนี้เต็มที่แล้ว แต่ไม่คุ้มค่าเลย เด็กๆทะเลาะกัน และไม่คำนึงถึงผู้อื่น ผู้ปกครองก็โมโหและหงุดหงิดบ่อยเหลือเกิน ผมรู้สึกว่าเสียเวลาสอนหนังสือไปหลายปี ผมเริ่มสงสัยว่ามีใครเห็นคุณค่าทุกสิ่งที่ผมทุ่มเทให้หรือเปล่า ผมทุ่มเทชีวิตให้สิบปี แต่ดูเหมือนว่าไม่มีผลงานให้เห็นเลย

ชีวิตผมเปลี่ยนไป เพราะครูผู้ช่วยที่มาฝึกสอนในห้องเรียนผม เขามาช่วยสอนได้แค่สองวัน เมื่อผมบังเอิญเข้าไปที่ห้องทานอาหารของคุณครู ช่วงพักทานข้าว ผมได้ยินเขาพูดกับครูผู้ช่วยอีกสองคน

“ผมทึ่งใจมากที่คุณครูนอร์ธรักเด็กจริงๆ เขาใจดี รับฟัง และให้กำลังใจเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กชั้นไหน ผมอยากมีครูแบบนี้จริงๆ ถ้าผมยังเป็นเด็ก”

การได้ยินคำพูดเช่นนี้ มีผลมหาศาลต่อดวงจิตที่ห่อเหี่ยวของผม นี่ช่วยให้ผมระลึกถึงเหตุผลที่ผมทุ่มเทชีวิตกับอาชีพสอนหนังสือ ผมเริ่มมองดูอาชีพผมจากมุมมองใหม่ และฟื้นฟูวิสัยทัศน์ขึ้นมาใหม่ เมื่อผมมีมุมมองที่แตกต่างไปในการงานของผม ความประพฤติของนักเรียนก็เปลี่ยนไปด้วย พอถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ ผมกลายเป็นคนละคน ถ้อยคำชมเชยไม่กี่คำ ที่ผมบังเอิญได้ยินเข้า เปลี่ยนชีวิตผม ตอนนี้ผมควรดำเนินชีวิตตามกิตติศัพท์ที่ได้รับ วัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ช่วยเป็นแรงจูงใจให้หลายคนมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้น[2]

สิ่งที่ฉันประทับใจก็คือ ถ้อยคำที่เรากล่าว ซึ่งดูธรรมดาๆ เล็กน้อย ไม่สลักสำคัญ และบ่อยครั้งก็ทำให้อึดอัดใจ อันที่จริงแล้วหาค่ามิได้ และส่งผลอย่างมหาศาลต่อบุคคลที่ได้ยิน หรือคนที่บอกกล่าวถึง สำหรับเราคงดูเหมือนว่าไม่เป็นอะไรเลย ทว่าอาจช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจที่หิวโหย หรือเป็นน้ำต่อผู้ที่กระหาย จวนสิ้นใจ สิ่งที่เราเสียไปนั้นน้อยนิด และดูเล็กน้อย แต่ในภาพวงกว้างอาจหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างต่อคนอื่น

(Living With Meaning: Hardly Anything or Everything?)


[1] ย่อมาจากเรื่องเล่าในหนังสือ The Esther Effect โดย ไดแอนนา บูเฮอร์ (สำนักพิมพ์ Thomas Nelson ปี ค.ศ. 2001)

[2] ริชาร์ด นอร์ธ

ภาพซ้ายไปขวา: ลูคัสและคลาร่า ถ่ายโดย ธีอาโก โกเมส