การตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า ตอนที่ 2: มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัดสินใจ

เมษายน 1, 2014

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

คุณเคยเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญหรือเปล่า และต้องการแนวทางที่ชัดเจน แล้วได้แต่รู้สึกราวกับว่าพระเจ้าเงียบกริบ ตอนที่คุณต้องการมากที่สุดให้พระองค์มอบคำตอบอย่างชัดเจน เพื่อช่วยคุณในการตัดสินใจครั้งสำคัญ ผมทราบว่าผมเคยเป็นเช่นนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมต้องดิ้นรนต่อสู้ในทางวิญญาณ ผมอยากให้พระองค์ชี้เส้นทางอย่างชัดเจน ทว่าด้วยสติปัญญาของพระองค์ พระองค์เลือกที่จะไม่มอบคำตอบให้โดยตรง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผมต้องลงมือทำการค้นหา โดยสำรวจทางเลือกต่างๆ ขอคำปรึกษาจากผู้ที่ดำเนินตามแบบอย่างพระเจ้า พิจารณาโอกาสที่เปิดทางให้เบื้องหน้าผม อธิษฐานสุดจิตสุดใจ เหนือสิ่งอื่นใด ก็ฝากเส้นทางชีวิตผมไว้กับพระองค์ ผมต้องไว้วางใจว่าพระองค์จะชี้แนะและนำทางผม ตามวิธีการที่พระองค์เลือก

ในยามเช่นนี้ ผมยินดีที่สุดที่ได้รับนิมิตหมายโดยตรง ไม่มีสิ่งใดที่เราชื่นชอบมากไปกว่าการที่พระองค์ชี้ทางที่ดีที่สุด ในหลายทางเลือก และกอบกู้เราไว้จากขั้นตอนที่บ่อยครั้งน่าทรมาน เมื่อต้องหยั่งดูทางเลือกต่างๆ ข้อดีข้อเสีย และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ยามที่เราไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาเช่นไรในที่สุด บ่อยครั้งพระองค์ก็ยืนยันความประสงค์ของพระองค์ ด้วยคำพยากรณ์โดยตรง ซึ่งบ่งบอกถึงความปรานีและความเห็นชอบจากพระองค์ นี่เป็นกำลังใจและมอบพลังมหาศาล บางครั้งพระองค์คาดหมายให้เราใช้วิธีอื่นๆ ในการค้นพบความประสงค์ของพระองค์ (ดู การตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า ตอนที่หนึ่ง) ขณะที่เราดำเนินขั้นตอนการวิเคราะห์สถานการณ์และทางเลือกต่างๆ เพื่อตัดสินใจขั้นสุดท้าย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้และการเติบโต

เราพบว่าตัวเองต้องต่อสู้อย่างมากในหัวคิด อารมณ์ความรู้สึก และจิตวิญญาณ ในยามเช่นนี้ ก็คล้ายๆ กับประสบการณ์ของยาโคบ ตอนที่เขาปล้ำกับทูตสวรรค์ตลอดคืน[1] แต่ถ้าเราทำเท่าที่ทำได้ โดยอธิษฐาน และติดตามพระเจ้าอย่างสุดความสามารถ เราก็ไว้วางใจได้ว่า ไม่ว่าผลลัพธ์และผลขั้นสุดท้ายจากการตัดสินใจของเราจะเป็นอย่างไร ก็จะก่อให้เกิดผลดีในที่สุด[2]

หลายครั้งเมื่อผมแสวงหาพระองค์ เพื่อขอความประสงค์และแนวทางจากพระองค์ เกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ พระองค์ไม่ได้บอกผมเลยทีเดียวว่าควรจะเลือกทางใด หรือบอกว่าผลจะออกมาอย่างไร บ่อยครั้งพระองค์จะชี้ให้เห็นแนวทางทั่วไป หรือย่างก้าวหนึ่งหรือสองก้าว พร้อมด้วยคำแนะนำให้กลับมาอธิษฐานอีก เมื่อสิ่งต่างๆ เริ่มคลี่คลายออกมา ในสถานการณ์เช่นนี้ มักจะมีบางสิ่งที่ต้องเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้ ตลอดขั้นตอนการตัดสินใจ ขณะที่อธิษฐานขอสติปัญญาและแนวทางต่อไป ผมมีหน้าที่หยั่งดูข้อดีข้อเสีย พิจารณาโอกาสที่เปิดหรือปิดทาง ขอคำปรึกษาจากผู้อื่น แล้วก็ทำเท่าที่ทำได้ เพื่อร่วมงานกับพระองค์ เพื่อจะได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าพระองค์อาจจะไม่ให้คำตอบที่เฉพาะเจาะจงเสมอไป ว่าควรจะทำอะไร ผมก็คาดหวังได้เสมอว่าพระองค์จะสถิตอยู่ด้วยตลอดขั้นตอนดังกล่าว และชี้แนะนำทาง ขณะที่ผมพิจารณาทางเลือกและความเป็นไปได้ต่างๆ จนกระทั่งผมรู้สึกมีสันติสุขว่าการตัดสินใจนั้นสอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์  

แง่มุมสำคัญของแผนการที่พระเจ้าวางไว้สำหรับมนุษย์ ก็คือ การที่พระองค์มอบอิสระในการตัดสินใจ ซึ่งเปิดโอกาสให้เราเลือกและตัดสินใจ ตามความตั้งใจของเราเอง ในฐานะคริสเตียนผู้ที่ต้องการถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าด้วยชีวิตเรา เราอยากจะหัดตัดสินใจโดยยึดหลักการของพระเจ้า และเลือกทางที่ดีที่สุด ในหลายลู่ทางที่เราอาจประสบเป็นประจำทุกวัน การพิจารณาทางเลือก หยั่งดูข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ใช้สติปัญญาที่พระเจ้ามอบให้ และพิจารณาสถานการณ์ด้วยพระคำของพระเจ้า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการรักพระเจ้าสุดความคิดจิตใจและดวงวิญญาณ ในการเชื่อฟังบัญญัติข้อแรกข้อใหญ่ที่สุด[3] ถึงแม้เราจะไม่ได้รับนิมิตหมายโดยตรงจากพระเจ้า เพื่อชี้แนะนำทางเราในการตัดสินใจ เราก็ยังมีกำลังใจได้ว่า พระองค์สัญญาว่าจะชี้แนะนำทางเรา เมื่อเราฝากเส้นทางชีวิตไว้กับพระองค์ และแสวงหาความประสงค์ของพระองค์ ผ่านทุกวิธีการที่มีอยู่ อันที่จริงแล้ว แม้แต่ตอนที่พระองค์มอบนิมิตให้จริงๆ ก็เป็นการมีสติปัญญาที่จะทดสอบการตัดสินใจ เพื่อพิจารณาว่าเป็นความประสงค์ที่ดีและเป็นที่เห็นชอบต่อพระเจ้า[4] เราตรวจสอบการตัดสินใจเช่นนั้นได้ โดยตั้งคำถามเช่น นี่สอดคล้องกับพระคำของพระองค์ไหม พระองค์กล่าวผ่านข้อพระคัมภีร์อย่างเฉพาะเจาะจงหรือเปล่า มีการขอคำปรึกษาจากผู้ที่ดำเนินตามแบบอย่างของพระเจ้าหรือยัง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในตอนที่ 1 เรื่องวิธีที่จะทราบความประสงค์ของพระเจ้า)

ส่วนหนึ่งของความเครียดและความสับสนที่เราเผชิญหน้าบ่อยๆ ในยามที่ต้องตัดสินใจ ก็คือ กลัวความล้มเหลว กลัวว่าจะพลาดความประสงค์ของพระเจ้า หรือกลัวว่าจะตัดสินใจซึ่งส่งผลในแง่ลบต่อตัวเองหรือผู้อื่นที่ไม่อาจคาดหมายได้ เมื่อพูดถึงการตัดสินใจสำคัญๆ ซึ่งจะกำหนดแนวทางในอนาคตของเรา หรืออย่างน้อยก็อนาคตอันใกล้ เราก็เรียนรู้จากประสบการณ์ว่าการตัดสินใจที่ไม่ได้ใช้สติปัญญา อาจส่งผลให้ต้องย้อนรอยกลับไป หรือดำเนินชีวิตอยู่กับผลที่ตามมา จากการตัดสินใจที่ไม่ได้รับคำแนะนำที่ดี ทั้งๆ ที่เรามีความตั้งใจและความปรารถนาดี บางครั้งการตัดสินใจของเราก็นำไปสู่ผลลัพธ์และสิ่งที่ตามมาในแง่ลบ โดยไม่ได้คาดคิด และเราพบว่าตัวเองต้องดำเนินชีวิตอยู่กับผลนั้น

เนื่องจากพระเจ้าประสงค์ให้เรามีอิสระในการตัดสินใจ เราจึงสามารถเลือกได้อย่างอิสระ ในทำนองเดียวกันเราก็ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัวต่อการตัดสินใจของเรา และผลที่ตามมา นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราต้องหมั่นอธิษฐานและใช้สติปัญญา เมื่อตัดสินใจ การรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาคือส่วนสำคัญในขั้นตอนดังกล่าว เรามีอิสระที่จะตัดสินใจ แต่เราต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้น ถ้าผลที่ตามมาเป็นแง่ลบ เราต้องไม่หันไปโทษคนอื่น หรือโทษพระเจ้า ต่อความเป็นไปต่างๆ เราต้องรับผิดชอบเอง นอกจากนี้เราต้องไว้วางใจว่า พระเจ้าสัญญาว่าจะให้ทุกสิ่งลงเอยด้วยดีต่อผู้ที่รักพระองค์ ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ดูจะส่งผลอย่างไรในตอนแรก พระองค์จะบันดาลให้ความผิดพลาด และช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่าเราก่อเรื่องยุ่งจากการตัดสินใจ เปลี่ยนแนวทางของเราเสียใหม่ ในแง่ที่จะเป็นประโยชน์ และนำเราไปสู่จุดหมายปลายทางสูงสุดของพระองค์

หัวโค้งบนถนนที่ไม่คาดหมาย และผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าเราจะตัดสินใจด้วยสติปัญญาสักแค่ไหน เราเห็นได้ในพระคัมภีร์โดยตลอด ว่าบ่อยครั้งสิ่งต่างๆ ไม่ได้ลงเอยตามที่ผู้คนคาดหมายหรือวางแผนไว้ เมื่อโมเสสเริ่มออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา เขาคงไม่เล็งเห็นล่วงหน้าว่าจะต้องเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย 40 ปี ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลังเลใจในการตัดสินใจด้วยสติปัญญา หรือละสายตาไปจากจุดหมายปลายทาง เขามุ่งหน้าต่อไป ทั้งๆ ที่มีอุปสรรค

แม้แต่ยามที่เราตัดสินใจอย่างถูกต้อง ก็ไม่มีหลักประกันว่าการเดินทางจะราบรื่นตลอดทาง บ่อยครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับหลุมพรางหรืออุปสรรคตามทาง นี่เป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ บ่อยครั้งก็เพื่อเสริมสร้างการที่เราดำเนินไปด้วยศรัทธา พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเราบนสวรรค์ ทราบดีว่าการรู้จักตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา และบทเรียนทุกอย่างที่ได้รับจากการเดินทาง เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตและพัฒนาการทางวิญญาณ

ผมคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่มีเรื่องเล่า ถึงตอนที่พบว่าตัวเองถึงจุดวิกฤตที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญมากในชีวิต โดยที่พระองค์บอกกล่าวกับเรา ผ่านคำพยากรณ์ วิสัยทัศน์ ความฝัน หรือสื่อทางตรงอื่นๆ ซึ่งชัดเจนและเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง จนไม่ต้องลังเลใจหรือมีข้อสงสัยว่าอะไรคือการตัดสินใจที่ถูกต้องในสถานการณ์นั้น แต่ผมแน่ใจว่าบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะพยายามอย่างหนัก ในการตัดสินใจตามแบบอย่างของพระเจ้า ผ่านลู่ทางอื่นที่มีอยู่ เพื่อค้นหาความประสงค์ของพระเจ้า พระองค์สัญญาว่าเมื่อเราแสวงหาพระองค์สุดหัวใจ เราจะพบพระองค์[5] เมื่อเราฝากหนทางไว้กับพระองค์ และให้พระองค์มีส่วนรับรอง พระองค์จะนำทางเรา และให้เราไปอยู่ในสถานที่ร่มรื่น[6] เราไว้วางใจได้ว่าพระองค์จะไม่มีวันจากหรือทิ้งเราไป แม้แต่ในยามที่ดูเหมือนว่าพระองค์เงียบเชียบ และไม่มอบแนวทางที่เราแสวงหาให้โดยตรง ในเรื่องที่เราตัดสินใจอยู่

ริค วาร์เรน บ่งบอกถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

นอกเหนือจากพระเยซู ดาวิดคงเป็นผู้ที่มีมิตรภาพกับพระเจ้าแน่นแฟ้นยิ่งกว่าใคร พระเจ้าชื่นชมการเรียกเขาว่า “ผู้ที่พระองค์พอใจ” ทว่าบ่อยครั้งดาวิดบ่นถึงการที่พระเจ้านิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัด

“ไฉนพระองค์อยู่แสนไกล ไฉนพระองค์หลบซ่อน ในยามที่ข้าเดือดร้อน” (เพลงสดุดี 10:1) “ไฉนพระองค์ทอดทิ้งข้า เหตุใดพระองค์เมินเฉยที่จะช่วยข้า ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้า” (เพลงสดุดี 22:1)

แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งดาวิดจริงๆ และพระองค์ไม่ได้ทอดทิ้งคุณ พระองค์สัญญาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไป” (พระราชบัญญัติ 31:6) แต่พระเจ้าไม่ได้สัญญาไว้ว่า “เจ้าจะรู้สึกเสมอว่าเราอยู่ใกล้” อันที่จริงแล้ว พระเจ้ายอมรับว่าบางครั้งพระองค์หลบหน้าไปจากเรา มีบางครั้งที่ปรากฏว่าพระองค์ไม่มีส่วนดำเนินการในชีวิตคุณ

ข้าจะรอคอยพระองค์ผู้ซ่อนพระพักตร์จากวงศ์วานของยาโคบ และข้าจะคอยท่าพระองค์ (อิสยาห์ 8:17)

ดูเถิด ข้าเดินไปข้างหน้า แต่พระองค์มิได้สถิตที่นั่น และเดินไปข้างหลัง แต่ข้าไม่สังเกตเห็นพระองค์ ข้างซ้ายมือที่พระองค์กระทำกิจ ข้าก็ไม่เห็นพระองค์ ข้างขวามือที่พระองค์ซ่อนอยู่ ข้าหาพระองค์ไม่พบ ด้วยว่าพระองค์ทรงทราบทางที่ข้าดำเนินไป เมื่อพระองค์ทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นดุจทองคำ ... เพราะว่าพระองค์จะทำตามที่กำหนดไว้ให้ข้าอย่างครบถ้วน (โยบ 23:8-10, 14)[7]

บางครั้งเหตุผลหนึ่งที่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะนิ่งเงียบ ในยามวิกฤต เมื่อต้องทำการตัดสินใจ ก็คือ พระองค์ให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเรา พระองค์ต้องการให้เราตัดสินใจด้วยสติปัญญา ตามแบบอย่างของพระเจ้า โดยรับผิดชอบการกระทำและผลที่ตามมา เดวิด เบิร์ก เขียนไว้เกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ที่คริสเตียนอาจเผชิญหน้า ภายในความประสงค์ของพระเจ้า และการที่พระเจ้าปีติยินดีที่จะให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเรา

คุณอาจประหลาดใจที่ได้ทราบว่าพระเจ้าชอบให้คุณผู้เป็นลูกของพระองค์ ตัดสินใจเลือกเอง ภายในความประสงค์ของพระองค์ ผมทราบว่าคุณชื่นชมในพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด และต้องการทำตามความประสงค์ของพระองค์ แต่เมื่อเราทำเช่นนั้น พระองค์ก็ยินดีที่จะมอบให้ตามที่ใจเราปรารถนา เพราะพระองค์มอบความปรารถนานั้นไว้ในใจเรา เมื่อเราทำให้พระองค์พอใจ (เพลงสดุดี 37:4)

นี่เป็นสิ่งที่พระองค์พอใจด้วย โดยการให้เราเลือกเอง จากทางเลือกดีๆ หลายทาง ซึ่งล้วนอยู่ภายในความประสงค์ของพระองค์ ถ้าเป็นความปรารถนาของเรา เช่นเดียวกับที่เราอยากให้ลูกของเราเองเลือกของเล่น ไปเที่ยว หรือหาความเพลิดเพลิน ตราบใดที่ปลอดภัย และเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา นี่คือสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าผู้คนไม่เข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า พระองค์ชอบให้เราเลือกจริงๆ เช่นเดียวกับที่เราทำกับลูกของเราเอง ตราบใดที่ไม่ใช่อะไรที่ไม่ดีสำหรับเรา หรือไม่ดีสำหรับผู้อื่น[8]

พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีความสามารถที่จะเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งรวมไปถึงการเลือกจากทางเลือกต่างๆ และสามารถย่างก้าวไปสู่การบรรลุผลตามทางที่เราเลือก นักศาสนศาสตร์ ลูวิสและเดมาเรสต์ อธิบายไว้ดังนี้

การมีอิสระที่จะตัดสินใจอาจหมายถึงทั้งอำนาจในการเลือกจากทางเลือกต่างๆ และความสามารถที่จะมุ่งหน้าไปสู่การทำให้สิ่งที่เลือกกลายเป็นจริง ประการแรก อิสรภาพของมนุษย์เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะเลือกจากวัตถุประสงค์ต่างๆ เราเห็นพ้องกับค่านิยมและจุดมุ่งหมายของพระเจ้าที่เผยให้เห็น เพราะจะส่งผลดีที่สุดสำหรับเรา อาจมีทางเลือกที่เฉพาะเจาะจงหลายทาง ซึ่งไม่ละเมิดแนวทางตามหลักจรรยาที่เผยให้เห็น ดังนั้นเราอาจมีทางเลือกต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามหลักจรรยา ... ประการที่สอง มนุษย์จะมีความสามารถในการตกลงใจเองด้วย เมื่อเลือกทางหนึ่งแล้ว เราก็ไม่มีอิสระ ถ้าเราไม่สามารถมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายนั้น และทำสิ่งที่เราต้องการ เรามีอิสระที่จะตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง เรามีทั้งอิสรภาพในการเลือกทางต่างๆ และสามารถบรรลุผลตามเป้าหมายที่เลือกไว้[9]

อาดัมและอีฟ มนุษย์สองคนแรก เผชิญหน้ากับการตัดสินใจในสวนเอเดนตั้งแต่เริ่มแรก พระเจ้าสร้างเขาขึ้นมาให้เป็นมนุษย์ผู้คิดหาเหตุผล ตามรูปลักษณ์ของพระองค์ และมอบสิทธิในการตัดสินใจให้เขาทันที อาดัมมีหน้าที่รับผิดชอบในการตั้งชื่อสัตว์ที่มีชีวิตทุกตัว ไม่ได้บ่งบอกไว้ในพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าบอกให้เขาตั้งชื่อพวกสัตว์ว่าอะไรหรืออย่างไร พระองค์มอบหมายงานนี้ให้เขา โดยที่ทราบว่าคุณสมบัติในการมีเหตุผลและเชาวน์ปัญญาจะช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจอย่างฉลาด แน่นอนว่าในทำนองเดียวกัน การตกลงใจได้เองก็ทำให้เขามีอิสระที่จะตัดสินใจผิดด้วย ดังที่เราเห็นได้จากการที่อาดัมและอีฟตัดสินใจไม่เชื่อฟังคำบัญชาของพระเจ้า การที่เขาตัดสินใจทานผลไม้ต้องห้าม เป็นการขัดขืนต่อความประสงค์ที่พระเจ้าบ่งบอกไว้ ซึ่งยังผลให้มนุษย์ตกอับ และเกิดผลในแง่ลบที่ตามมา

การตกอับเปิดโอกาสให้บาปแทรกเข้ามา ความบาปก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งสร้างสรรค์ ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูชดใช้บาปให้แก่เรา เราจึงสามารถสมานไมตรีกับพระเจ้า และสานสัมพันธ์กับพระองค์ เราไม่เพียงสมานไมตรี ทว่าจากการตัดสินใจเลือกเป็นส่วนตัว ที่จะรักพระองค์ และยอมรับการเสียสละของพระเยซู เราก็เริ่มมุ่งหน้าสู่เส้นทางการเชื่อมสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างแนบชิด คำอุปมาเรื่องการสมรสที่ใช้ในพระคัมภีร์ เพื่อบรรยายความสัมพันธ์ทางวิญญาณที่แนบชิด ระหว่างพระเยซูและเหล่าผู้มีความเชื่อ เป็นสัญลักษณ์ถึงการผนึกหัวใจ ความคิด และวิญญาณอย่างแนบแน่น ซึ่งพระเยซูแสวงหาที่จะมีกับเราแต่ละคน เมื่อเรารักพระเจ้าด้วยความรู้สึกแรงกล้าและแนบชิด ทั้งให้ศรัทธาเพิ่มพูนโดยการศึกษาพระคำ และดำเนินชีวิตตามคำสอนในนั้น ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะพาเราไปสู่การเดินทางที่เติมเต็มด้วยทางเลือกต่างๆ ซึ่งส่วนมากคือลู่ทางดีๆ ที่เป็นไปได้ และเป็นไปตามแบบอย่างของพระเจ้า

ส่วนหนึ่งในการเดินทางไปสู่ความแนบชิดกับพระเจ้า การดำเนินชีวิตที่ก่อเกิดผล และเติมเต็มด้วยพระเจ้า คือการรู้จักตัดสินใจด้วยสติปัญญา ตามแบบอย่างของพระเจ้า ซึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของเราเติบโต เพิ่มพูนศรัทธาของเรา และก่อให้เกิดผลมากขึ้น ขณะที่เราไว้วางใจในการที่พระองค์จะดูแลและจัดหาปัจจัยให้เสมอ ขณะที่เราฝากลู่ทางต่างๆ ไว้กับพระองค์ และหาทางทำให้พระองค์พอใจ โดยทำสิ่งที่น่าพอใจในสายตาของพระองค์ เราก็มีความมั่นใจได้ในความสัมพันธ์ที่มีกับพระองค์ เราทราบได้ว่าพระองค์จะสถิตอยู่กับเรา ตลอดการตัดสินใจทุกครั้ง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ซึ่งเราต้องเผชิญหน้าตลอดชีวิต[10]

บัดนี้ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ... ทำให้ท่านพรั่งพร้อมด้วยทุกสิ่งที่ดี เพื่อจะได้ทำตามความประสงค์ของพระองค์ และโปรดดำเนินการในเราตามที่พระองค์เห็นชอบ โดยพระเยซูคริสต์ ขอสง่าราศีจงมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิจ อาเมน[11]


[1] ปฐมกาล 32:24–30

[2] โรม 8:28

[3] มัทธิว 22:37–38 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่"

[4] โรม 12:2

[5] เยเรมีย์ 29:13. เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดหัวใจ

[6] สุภาษิต 3:6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

เพลงสดุดี 16:6 เขตแดนของข้าพเจ้าเป็นที่ที่ร่มรื่น เออ ข้าพเจ้ามีมรดกที่ดี

[7] หนังสือ The Purpose Driven Life (แกรนด์ราปิดส์ มิชิแกน: สำนักพิมพ์ซอนโดแวน ค.ศ
 2002) หน้า 108–109

[8] เดวิด เบิร์ก เรื่อง “ทางเลือก” ค.ศ. 1973

[9] กอร์ดอน อาร์ ลูวิส และ บรูซ เอ เดมาเรสต์ ในเรื่อง Integrative Theology (แกรนด์ราปิดส์ มิชิแกน: สำนักพิมพ์ซอนโดแวน ค.ศ. 1994) หน้า 156–157

[10] 1 ยอห์น 3:21–22 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจจำเพาะพระเจ้า และเราขอสิ่งใดก็ตาม เราก็จะได้สิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรพระองค์

[11] ฮีบรู 13:20-21