เหมือนพระเยซูมากขึ้น

กุมภาพันธ์ 9, 2016

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

[More Like Jesus Part 3]

ชักใบเรือเล่นลม[1]

สิ่งใดก็ตามที่เราอยากจะทำให้ดีในชีวิต ต้องอาศัยความเพียรพยายาม ผู้คนที่เป็นมือหนึ่งในสายอาชีพของเขา ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ส่วนใหญ่บรรลุผลเพราะเขาทำงานหนัก คริสเตียนก็เช่นกัน ในการที่จะเจริญเติบโตจนเป็นเหมือนพระคริสต์ และกลายเป็นบุคคลที่พระเจ้ามุ่งหมายไว้ ต้องอาศัยความพยายามขณะที่มีความสำนึกและตั้งใจ ในการปลูกฝังความเชื่อ นิสัย ทัศนคติ ความนึกคิด และพฤติกรรม ตามแบบอย่างพระเจ้า นอกจากนี้ ต้องตั้งใจเลิกมีความเชื่อผิดๆ นิสัยที่ส่งผลเสีย ทัศนคติที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า การนึกคิดในทางที่ผิด และพฤติกรรมที่ไม่ดี

ในพระคัมภีร์ใหม่ เราได้อ่านโดยตลอดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง“การปล่อยวาง” หรือการตัดบางแง่มุมออกไปจากชีวิต ทั้งความรู้สึกนึกคิดในใจ และการกระทำภายนอกที่เป็นผลตามมา ซึ่งต่อต้านคัดค้านการเป็นเหมือนพระคริสต์ ในระหว่างนั้นเราควรจะ“รับไว้” หรือเพิ่มพูนสิ่งที่พัฒนาแบบอย่างของพระเจ้าในชีวิต แนวคิดเรื่องการปล่อยวาง มีข้อเรียกร้องอย่างชัดเจนให้ตัดสินใจและลงมือดำเนินการ การรับไว้ก็เช่นกัน ลองดูข้อความในพระคัมภีร์ใหม่บางส่วน เกี่ยวกับการปล่อยวาง ติดตามด้วยการรับไว้

การปล่อยวาง

เมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ด้วยสง่าราศี เหตุฉะนั้นจงประหารโลกีวิสัยของท่าน คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความโสมม ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ ... ท่านจงกำจัดสิ่งทั้งปวงนี้ให้หมด คือ ความโกรธ ความเกรี้ยวกราด การคิดปองร้าย การกล่าวร้าย และวาจาหยาบช้าจากปากของท่าน อย่าโกหกกัน ในเมื่อท่านสละทิ้งตัวตนเก่าๆ พร้อมกับความประพฤติเดิมๆ และสวมตัวตนใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ตามรูปลักษณ์ของพระผู้สร้าง ขณะที่ท่านรู้จักพระองค์มากขึ้น[2]

ฉะนั้นท่านต้องทิ้งสิ่งจอมปลอม และพูดความจริงต่อเพื่อนบ้านของตน[3] จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น ความเกรี้ยวกราด ความโกรธแค้น การทะเลาะเบาะแว้ง และการใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ[4] เหตุฉะนั้น จงขจัดสารพัดความโสมมทางศีลธรรมและความชั่วที่ดาษดื่น และถ่อมใจน้อมรับพระคำที่ปลูกฝังไว้ในท่าน ซึ่งสามารถช่วยท่านให้รอดได้[5] ฉะนั้นท่านจงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ความอิจฉาริษยา และการกล่าวร้ายทุกอย่างไปจากตัวท่าน[6] ในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งภาระทุกอย่างที่หน่วงเหนี่ยวไว้ และบาปที่เกาะกินใจ ให้เราวิ่งด้วยความอดทน บากบั่นไปตามลู่ทางที่กำหนดไว้สำหรับเรา[7]

การรับไว้

ฉะนั้นในฐานะผู้คนที่พระเจ้าเลือกสรร ผู้บริสุทธิ์และเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ จงรับความสงสาร ความกรุณา ความอ่อนโยน ความถ่อมตน และความอดทนไว้ จงอดทนและอดกลั้นต่อกัน ไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กัน เหมือนที่พระองค์ยกโทษให้ท่าน จงรับความรักไว้เหนือสิ่งอื่นใด ความรักผูกพันทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองใจท่าน[8]

กลางคืนเกือบจะสิ้นสุด จวนจะรุ่งเช้าแล้ว ดังนั้นให้เราละพฤติการณ์แห่งความมืดไปเสีย และสวมยุทธภัณฑ์แห่งความสว่าง ...จงประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์เจ้า อย่าสนองความปรารถนาของวิสัยบาป[9] จากวิถีชีวิตเดิม ท่านได้รับการสอนให้ทิ้งตัวตนเก่า...เพื่อรับวิญญาณของความคิดจิตใจใหม่ ... รับตัวตนใหม่ซึ่งพระเจ้าสร้างให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง[10]

เห็นได้ชัดว่าการทำตามที่ข้อแนะนำดังกล่าวต้องอาศัยความพยายาม การ “สังหาร” “สละไป” และ “รับไว้” ล้วนเป็นการกระทำ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่ว่าจะเป็นการรับความกรุณา ความถ่อมตน ความอดทน ความเมตตากรุณา หรือการสละความโกรธ ความมุ่งร้าย ความโลภ ความปรารถนาชั่วร้าย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นี่คือผลจากชีวิตที่เปลี่ยนไป และได้รับอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราทำตามที่ข้อพระคัมภีร์สอน เมื่อเรานำความศรัทธามาปรับใช้กับชีวิตของเรา นี่คือการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น การพัฒนาอุปนิสัยของคริสเตียน ซึ่งเหมือนการฝึกอบรมทุกประเภท นี่คือการมีวินัยในตนเอง เพื่อให้ทำบางสิ่งในบางแง่มุม เมื่อคนเราทุ่มเทเวลาและความพยายาม เพื่อการฝึกฝน และเลิกนิสัยเก่า โดยการสร้างนิสัยใหม่ แล้ว“ปล่อยวาง”แง่ลบ และ“รับ”แง่บวก ก็จะเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่เราค่อยๆ เปลี่ยนไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

เมื่อกล่าวถึงการพยายามฝึกวินัยในตนเอง ผมไม่ได้หมายความว่านี่คือสิ่งที่เราทำได้เอง โดยปราศจากความช่วยเหลือหรือพระคุณของพระเจ้า เราทำไม่ได้แน่นอน แต่เราไม่อาจคาดหมายให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนเราเช่นกัน โดยที่เราไม่ต้องเพียรพยายามหรือทำอะไรในส่วนของเรา เราต่อสู้ดิ้นรนกับความบาปตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะให้อภัยเราต่อความบาป แต่ก็คาดหมายให้เราพยายามหลีกเลี่ยงการทำบาป เราควร“สังหาร” และ“ปล่อยวาง”สิ่งที่หน่วงเหนี่ยวเราไว้จากการเป็นเหมือนพระคริสต์ และ“รับ”คนใหม่ไว้ โดยทำสุดความสามารถที่จะดำเนินชีวิตด้วยการเป็นคนใหม่ในพระคริสต์

ผมคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่พยายามทำเช่นนี้ เราประสบความสำเร็จพอสมควร อย่างไรก็ตาม ยิ่งผมศึกษาเพิ่มเติม และเรียนรู้เกี่ยวกับความศรัทธา ผมก็ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น ว่าการดำเนินชีวิตตามที่ข้อพระคัมภีร์สอน จะสร้างความแตกต่างที่สำคัญในชีวิตคนเรา การทุ่มเทความเพียรพยายามและการฝึกวินัยในตนเอง เพื่อตั้งใจที่จะมุ่งมั่นไปสู่การเติบโต จนเป็นเหมือนพระคริสต์ นำมาซึ่งความสุขมากขึ้น ช่วยสานสัมพันธ์กับพระเจ้า เกิดความสมปรารถนา และมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความยินดี

เมื่อไม่นานมานี้ ผมอ่านผลวิเคราะห์การสำรวจ โดย ไมเคิล เอ ซิกาเรลลี ผู้ประพันธ์คริสเตียน แสดงข้อเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่ผู้ประพันธ์เรียกว่าคริสเตียนที่มีคุณธรรมต่ำ คุณธรรมปานกลาง และคุณธรรมสูง[11] เขาพยายามค้นหาว่าอะไรทำให้คริสเตียนผู้มีคุณธรรมสูงแตกต่างไป ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าจากการสำรวจ 5,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นคริสเตียนที่มีคุณธรรมปานกลาง จากนั้นเขาแยกแยะข้อแตกต่างระหว่างคริสเตียนที่มีคุณธรรมปานกลางกับที่มีคุณธรรมสูง ผู้ที่เขาจัดว่ามีคุณธรรมสูง คือผู้ที่ทุ่มเทความเพียรพยายามในการทำสิ่งใดโดยเฉพาะ ซึ่งยังผลให้เติบโตในด้านอุปนิสัยของคริสเตียน นอกจากนี้ เขาหยิบยกประเด็นว่าคริสเตียนที่มีคุณธรรมปานกลางอาจกลายเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ด้วยความเพียรพยายามมากขึ้น

ซิกาเรลลีชี้ให้เห็นว่าคริสเตียนแต่ละคนมีบทบาทแข็งขันที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการเติบโตของตนเอง ผู้มีความเชื่อบางคนอาจคัดค้านแง่คิดที่ว่ารายบุคคลมีบทบาทในการเติบโตทางจิตวิญญาณตน โดยกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ดำเนินการเปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์ นั่นคือผลจากพระวิญญาณ ไม่ใช่ความเพียรพยายามของเราเอง ซึ่งเราเห็นผลที่สะท้อนออกมาเป็นคุณสมบัติด้านอุปนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ มีความจริงในข้อนั้น

แต่ซิกาเรลลีเขียนไว้ว่า

มโนทัศน์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่า ในขั้นตอนการเติบโตคือ พระเจ้ามีบทบาท และเรามีบทบาท ความเกี่ยวเนื่องของบทบาทดังกล่าวเปรียบได้กับการแล่นเรือใบจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญอย่งยิ่งสองข้อ คือ ต้องมีลมพัดไปถึงจุดหมาย และต้องกางใบในตำแหน่งที่จะรับลมได้ คุณคงเดาออกเกี่ยวกับอุปมาอุปไมยนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสายลม ซึ่งค่อยๆ พัดพาเราไปสู่การเป็นเหมือนพระคริสต์ เราเป็นกะลาสีที่ต้องชักใบเรือขึ้น คือทำสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่ในตำแหน่งที่จะได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อพระวิญญาณจะได้นำเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่พึงประสงค์[12]

ถ้าเราแสวงหาการเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นในชีวิตเรา เราต้อง“ชักใบเรือขึ้น” เราทำเช่นนั้นอย่างไร เราบรรลุผลดังกล่าวได้บางส่วน โดยทำสิ่งที่ช่วยให้เราพัฒนาอุปนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ ด้วยการมุ่งเน้นทัศนคติและการกระทำที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งหันใบเรือของเราไปสู่ตำแหน่งที่จะได้รับสายลมจากพระวิญญาณ นี่จะพาเราไปสู่จุดหมายปลายทาง กล่าวในเชิงปฏิบัติคือ การเป็นเหมือนพระคริสต์หมายถึงการเปลี่ยนบางแง่มุมของอุปนิสัยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นยากลำบาก ต้องอาศัยความตั้งใจและการมีวินัย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสายลมของพระเจ้าช่วยพัดพาเราไป ก็คุ้มค่าอย่างยิ่งที่จะยอมแลกกับทุกสิ่ง

ย้อนหลังไประยะหนึ่ง ผมเขียนบทความเรื่องการมีวินัยทางจิตวิญญาณ โดยครอบคลุมถึงการอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การเป็นผู้ดูแล ความเรียบง่าย การให้และเงินปันส่วน การใช้เวลาด้วยสติปัญญา การถือศีลอดอาหาร ความสันโดษและความเงียบ การนมัสการ การประกาศข่าวสาร การร่วมมิตรภาพ การสารภาพผิด การเรียนรู้และศึกษา บันทึกประจำวัน งานรับใช้ และการฉลอง การฝึกวินัยทางจิตวิญญาณคือหนึ่งในวิธีหลักของพัฒนาการที่จะเป็นเหมือนพระคริสต์ เนื่องจากผมครอบคลุมการเติบโตทางจิตวิญญาณในแง่มุมนี้ไว้พอสมควรแล้ว ในเรื่องชุดนี้ผมจะไม่ทบทวนวินัยดังกล่าว ถึงแม้ว่าผมจะเอ่ยถึงบางส่วน แต่ผมขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณอ่านบทความเหล่านี้ หรืออ่านซ้ำ เพื่อเสริมสร้างเรื่องชุดนี้ เนื่องจากแนวคิดสองประการเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก[13]

เรื่องชุดนี้ผมมุ่งเน้นที่พัฒนาการเป็นเหมือนพระคริสต์ในเรา ซึ่งประกอบด้วยการเสริมสร้างอุปนิสัยอย่างจริงจัง เพื่อดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูและพระคัมภีร์ใหม่ คือการตั้งใจดำเนินชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูสอนเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าในพระกิตติคุณโดยตลอด บางครั้งอ้างอิงถึงว่าเป็นอาณาจักรสวรรค์ พระองค์สอนว่าอาณาจักรดังกล่าวเป็นทั้งอนาคตและปัจจุบัน การดำเนินชีวิตในอาณาจักรในปัจจุบันคือการที่เราเปิดโอกาสให้พระเจ้าครอบครองและควบคุมชีวิตเรา โดยการยอมรับและให้เกียรติพระองค์ ในฐานะที่เป็นพระผู้สร้าง นี่หมายถึงการหาทางดำเนินชีวิตในแง่ที่ให้เกียรติและถวายสง่าราศีแด่พระองค์ โดยทำสุดความสามารถที่จะใช้ชีวิตตามพระคำในพระคัมภร์

การที่จะเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น และดำเนินชีวิตโดยมีอาณาจักรของพระเจ้าเป็นหัวใจสำคัญมากขึ้น เราต้องเพียรพยายามที่จะให้ชีวิต การตัดสินใจ การกระทำ และวิญญาณของเรา สอดคล้องกับพระเจ้าและพระคำของพระองค์ การทำเช่นนั้นคือ “การปล่อยวาง” บางแง่มุมในตัวเราและอุปนิสัยของเรา คือ “การรับ” แง่มุมของการเป็นเหมือนพระคริสต์ นี่หมายถึงการปลูกฝังผลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้แก่ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความสัตย์ซื่อ ความอ่อนโยน และการยับยั้งชั่งใจ[14] เมื่อเราทำส่วนของเราด้วยการชักใบเรือขึ้น เราก็จะเติบโตจนเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น


[1] หลายประเด็นในบทความนี้เป็นข้อสรุปจาก Cultivating Christian Characterโดย ไมเคิล เอ ซิกาเรลลี (โคโลราโดสปริงส์: สำนักพิมพ์ Purposeful Design Publications ค.ศ. 2005)

[2] โคโลสี 3:4-5, 8-10

[3] เอเฟซัส 4:25

[4] เอเฟซัส 4:31

[5] ยากอบ 1:21

[6] 1 เปโตร 2:1

[7] ฮีบรู 12:1

[8] 3 โคโลสี 12-15

[9] โรม 13:12,14

[10] เอเฟซัส 4:22-24

[11] ซิกาเรลลี ในเรื่อง Cultivating Christian Character

[12] ที่มาเดียวกัน หน้า 39

[13] หากประสงค์รายละเอียดการฝึกวินัยดังกล่าว ขอแนะนำหนังสือที่ผมศึกษาในการเตรียมเนื้อหาเรื่องชุด “วินัยทางจิตวิญญาณ” ได้แก่ Celebration of Disciplineโดยริชาร์ด เจ ฟอสเตอร์ Spiritual Disciplines for the Christian Life โดย โดนัลด์ เอส วิตนีย์ The Spirit of the Disciplines โดย ดัลลัส วิลลาร์ด

[14] กาลาเทีย 5:22-23