ค่านิยมหลักของ TFI : ความสำนึกถึงชุมชน

ตุลาคม 29, 2013

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

คำบัญชาของเราคือ รักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เราได้รักพวกท่าน ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือ การที่เขายอมสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน[1]

เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ[2]

เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์สละชีพเพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง[3]

เป็นการดีและน่าชื่นใจยิ่งนัก เมื่อพี่น้องอยู่ด้วยกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน![4]

จงช่วยรับภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์[5]

ค่านิยมหลักข้อที่หกของเดอะแฟมิลี่นานาชาติ คือ

ความสำนึกถึงชุมชน: เราปลูกฝังภราดรภาพและความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราแสวงหาที่จะพัฒนาความสามัคคี ความรัก และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ ซึ่งช่วยสนับสนุนแนวทางปฏิบัติและแนวทางด้านวิญญาณให้แก่สมาชิกของเรา เมื่อรวมพลังกัน เราก็ทำอะไรได้มากขึ้น

ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ความเชื่อและเป้าหมายที่เรามีร่วมกัน ช่วยให้เรามุ่งมั่นที่จะผูกพันภราดรภาพ และความรักที่มีต่อกัน

TFI ไม่มีมีโมเดลทั่วโลกเพื่อก่อร่างสร้างหมู่คณะในระดับท้องถิ่น ดังนั้นจึงมีความหลากหลาย ในการที่ผู้คนเลือกที่จะพัฒนาความสำนึกถึงชุมชนในระดับท้องถิ่น โดยการก่อร่างสร้างเครือข่าย และปลูกฝังมิตรภาพ

เราเป็นเครือข่ายผู้มีความเชื่อทั่วโลก เรามีชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง ซึ่งเข้าถึงทุกทวีป โดยมีสมาชิกในกว่า 80 ประเทศ มีสิ่งพิมพ์ที่โพสต์บนหลายเว็บไซท์ของ TFI ช่วยให้สมาชิกทั่วโลกรับทราบถึงคำสอนทางด้านจิตวิญญาณ บทความสำหรับดีโวชั่น ข่าวเรื่องพันธกิจ คำขออธิษฐาน ข่าวล่าสุด และประกาศ นอกจากนี้สมาชิกยังเข้าไปใช้แหล่งปัจจัย อุปกรณ์ และเนื้อหาที่เกี่ยวโยงกับงานด้านพันธกิจได้ ในหลายๆ ภาษา ถึงแม้ว่าสมาชิก TFI จะอาศัยอยู่ทั่วโลก เราก็อยู่ระดับเดียวกันในความเชื่อหลัก ค่านิยมหลัก และการที่เราเห็นคุณค่างานด้านพันธกิจ ในการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซู และการเปลี่ยนโลก ด้วยการเปลี่ยนจิตใจทีละดวง

ถึงแม้ว่าสมาชิกหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้ร่วมมิตรภาพกันทางกายภาพ เราก็ยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในจิตวิญญาณ เนื่องจากความเชื่อที่มีร่วมกัน การอ่าน การรับฟังสิ่งพิมพ์บนเว็บไซท์ของเรา และการแบ่งปันวิสัยทัศน์ในการเข้าถึงผู้อื่นด้วยความรักของพระเยซู

สมาชิกได้รับการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่คณะ ที่บ้านเมืองหรือประเทศของเขา ในลักษณะที่เหมาะกับสถานการณ์และความจำเป็น องค์กรช่วยเอื้ออำนวยหมู่คณะเมื่อเป็นไปได้ ทว่าหน้าที่สร้างสรรค์หมู่คณะขึ้นอยู่กับสมาชิกรายบุคคล เมื่อใดหรือที่ไหนซึ่งการชุมนุมของหมู่คณะเป็นไปไม่ได้ เราส่งเสริมให้ก่อร่างสร้างหมู่คณะกับสมาชิกอื่นทางออนไลน์ ผ่านสื่อต่างๆ

ศรัทธาและการเป็นสาวกเราเติบโตในหมู่คณะ ร่วมกับผู้มีความเชื่อที่มีความนึกคิดเหมือนกัน ความเชื่อคริสเตียนไม่ได้มุ่งหมายให้ดำเนินชีวิตในความว่างเปล่า ทว่ามุ่งหมายให้แบ่งปันกันในมิตรภาพที่มีความรักและความสามัคคีกับผู้อื่น

อุปนิสัยของเราได้รับการพัฒนาและมีวุฒิภาวะ ด้วยการอยู่เป็นหมู่คณะร่วมกับผู้อื่น การอยู่เป็นหมู่คณะ ทำงานร่วมกันกับผู้ที่มีบุคลิกซึ่งอาจแตกต่างจากของคุณเอง ซึ่งคุณต้องมีความยืดหยุ่นและเสียสละ นี่จะช่วยให้เราฝึกฝนคุณสมบัติที่พระเยซูต้องการให้ฝึกฝน ถ้าปราศจากการสานสัมพันธ์กันเช่นนั้น ก็เป็นการท้าทายมากกว่าที่จะเติบโตอย่างเต็มที่ทางวิญญาณรอบด้าน นอกจากนี้ความท้าทายดังกล่าวเป็นพื้นฐานการเติบโตภายในจิตใจ ซึ่งช่วยให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น และเตรียมเราให้พร้อมที่จะเอื้อเฟื้อผู้อื่น โดยเป็นสื่อความรักของพระเจ้า

จอห์น ออทเบิร์ก เขียนไว้ในเรื่อง The Me I Want to Be (คนแบบที่ฉันอยากเป็น)

พระเจ้าใช้ผู้คนเพื่อสร้างกลุ่มคน นี่เองสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับอีกบุคคลหนึ่ง ไม่ใช่เป็นแค่การสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน พระวิญญาณเฝ้าปรารถนาที่จะดำเนินการด้วยพลัง จากการประสบพบพานแต่ละครั้ง ... ในทางวิญญาณ ดังที่จอห์น [อัครสาวก] กล่าวว่า “ผู้ใดที่ไม่รักก็อยู่ในความตาย” เมื่อเราอยู่ตามลำพัง ก็มีแนวโน้มมากกว่าที่เราจะยอมคล้อยตามเครื่องล่อใจ หรือความท้อแท้ เรามีแนวโน้มมากกว่าที่จะหมกมุ่นกับตัวเอง เรามีแนวโน้มมากว่าที่จะใช้เงินอย่างเห็นแก่ตัว เราไม่เพียงทนทุกข์เมื่อไม่มีสัมพันธภาพกับใคร ทว่าผู้คนที่พระเจ้ามอบไว้รอบข้างจะไม่ได้รับความรักที่พระเจ้ามุ่งหมายให้เรามอบแก่เขาด้วย[6]

สมาชิก TFI มีความคิดสร้างสรรค์มากทีเดียว ในเรื่องการสร้างสำนึกของการเป็นส่วนหนึ่งและการมาชุมนุมกัน เราได้ยินว่าผู้คนมาชุมนุมกันเพื่อร่วมมิตรภาพ และอยู่เป็นหมู่คณะ ไม่ว่าในทางกายภาพหรือทางออนไลน์ เช่น

  • มีการชุมนุมกันเพื่ออธิษฐาน นมัสการ และร่วมมิตรภาพ ซึ่งจัดขึ้นในบ้าน เป็นโบสถ์ในบ้าน
  • มีการร่วมมิตรภาพของสมาชิกในเมือง หรือแม้แต่ในประเทศ โดยผู้ที่มาร่วมเรียนพระคัมภีร์ แบ่งปันคำขออธิษฐาน หรือมีกิจกรรมแนวปฏิบัติซึ่งเกี่ยวโยงกับพันธกิจ และจัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆ
  • การร่วมมิตรภาพทาง skype เริ่มเป็นที่นิยม มีกลุ่มคนที่พบปะกันเป็นประจำทาง skype เพื่ออ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน เช่น คู่สามีภรรยาในชุมชนท้องถิ่นร่วมมิตรภาพและทำพิธีคอมมูเนียนทุกสัปดาห์กับหญิงโสดในอีกประเทศหนึ่ง
  • เราได้ยินถึงคุณแม่หลายคนที่มีงานยุ่งมาก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สุดยอดในการจัดกิจกรรมชุมชนระดับท้องถิ่น โดยการรวมกิจกรรมไว้ในทุกสิ่งเกิดขึ้นกับเด็กๆ และชีวิตในบ้าน น่าชมเชยมาก
  • หลายกลุ่มมีความสนใจที่คล้ายคลึงกัน จึงร่วมมิตรภาพทางออนไลน์ กลุ่มดังกล่าวมีทั้งคนโสด ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ปู่ย่าตายาย หรือผู้ที่มีความสนใจเหมือนกัน เช่น เหตุการณ์และคำพยากรณ์เรื่องกาลอวสาน สุขภาพและความผาสุก การรักษา ฯลฯ
  • การแบ่งปันคำขออธิษฐานสร้างสำนึกในชุมชน เพราะคุณทราบว่ามีใครห่วงใยคุณ คุณรู้สึกได้รับการเกื้อหนุน และมีคนเข้าใจ บ่อยครั้งมาเรียและผมแบ่งปันคำขออธิษฐานกับผู้ที่เราร่วมหมู่คณะด้วย เช่นเดียวกับที่เขาแบ่งปันกับเรา เมื่อผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันมาชุมนุมร่วมมิตรภาพกัน การอธิษฐานเผื่อกันคือหนึ่งในสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก
  • นอกจากนี้สมาชิกบางคนเข้าร่วมหมู่คณะกับคริสเตียนในโบสถ์ท้องถิ่น หรืองานการกุศลออื่นๆ ในเมืองของเขา

การทำส่วนของเราเพื่อก่อร่างสร้างหมู่คณะและภราดรภาพ คือความรับผิดชอบของคริสเตียน ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราแต่ละคน เราต้องริเริ่ม จัดเวลา และใส่ใจในการสานสัมพันธ์กับผู้อื่น

องค์ประกอบสำคัญของการเติบโตทางวิญญาณมาจากการสานสัมพันธ์กับผู้อื่น ในการร่วมมิตรภาพและหมู่คณะทางวิญญาณ การเติบโตดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจากการมีความเข้าใจ ความเห็นใจ ความถ่อมตน ความสุจริต ความซื่อสัตย์ ความไม่เห็นแก่ตัว และการยอมรับผู้อื่นมากขึ้น หมู่คณะไม่ได้มีพื้นฐานจากงานอดิเรก สถานะทางเศรษฐกิจ การเข้ากันได้ หรือบุคลิกที่คล้ายคลึงกัน พื้นฐานหมู่คณะของเราคือศรัทธาที่เรามีร่วมกัน

การสร้างสำนึกในชุมชน เรามีส่วนร่วมด้วย ในฐานะที่เป็นร่างเดียวกันของพระคริสต์ ขณะที่แบ่งปันข้อมูล การหล่อเลี้ยงทางวิญญาณ และการติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ ผ่านการร่วมมิตรภาพ ล้วนมีความสำคัญ ทว่าองค์ประกอบที่สำคัญพอๆ กัน ในภราดรภาพและมิตรภาพ คือ ความรักและความห่วงใยจากใจจริงที่เรามีต่อกัน

ดังที่ศิษยาภิบาล ปีเตอร์ มาร์ที อธิบายไว้ว่า

จิตวิญญาณของหมู่คณะเบ่งบาน เมื่อผู้คนสานสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง โดยงอกงามเพราะปฏิสัมพันธ์ที่สัตย์ซื่อ เมื่อดูจากภายนอก สมาชิกในคณะอาจมีอะไรที่เหมือนกันน้อยมาก ทว่าภายในจิตใจ เขาอาจรู้สึกถึงความเป็นไปได้ว่ามีบางสิ่งที่จะเรียนรู้จากกัน มิตรภาพในวงกว้าง การมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน และความห่วงใยที่มีต่อกัน ล้วนเป็นผลพวงจากหมู่คณะที่มีพื้นฐานมั่นคงทางวิญญาณ ซึ่งทำงานร่วมกัน วิถีทางที่สมาชิกในคณะกระจายความรักของพระเจ้าออกไป ด้วยการเอื้อเฟื้อที่จริงใจ และความรักที่มีต่อกัน จะบ่งชี้ว่าเขาเป็นร่างของพระคริสต์โดยแท้ หรือว่าเป็นเพียงสโมสรทางศาสนา[7]

การอยู่ในหมู่คณะคริสเตียนคล้ายคลึงกับการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เรามักจะสำนึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว เรามั่นใจว่าผู้ปกครอง ปู่ย่าตายาย พี่น้องชายหญิง รักเรา และจะคอยเคียงข้าง เมื่อเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ เรารู้สึกว่าเขาเฝ้าดูแลเอาใจใส่เรา

ความสำนึกเช่นเดียวกัน ถึงการมีส่วนร่วม ห่วงใย และมีความรัก คือสิ่งที่เราก่อร่างสร้างขึ้นมากับพี่น้องในพระองค์ พวกเราผู้มีความเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า

พระองค์ชี้ไปที่เหล่าสาวก กล่าวว่า " นี่คือมารดาและพี่น้องของเราเพราะผู้ใดทำตามความประสงค์ของพระบิดาในสวรรค์ ผู้นั้นคือมารดาและพี่น้องชายหญิงของเรา[8]

การสร้างสรรค์สำนึกถึงความสามัคคีเช่นนี้ เราต้องปลีกเวลามาเอาใจใส่กัน อธิษฐานเผื่อกัน ไปเยี่ยมเยียนผู้ที่เจ็บป่วย ช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนให้มากเท่าที่จะทำได้ และพยายามช่วยเหลือ เมื่อมีงานใหญ่ต้องทำ เช่น ย้ายบ้าน หรือเริ่มโครงการใหญ่ แน่นอนว่าบางครั้งสิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุด คือ มีคนรับฟัง เห็นใจ รู้เหตุผลที่เขาดิ้นรนต่อสู้ ช่วยอธิษฐาน และให้กำลังใจ

เรามีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบที่จะสะท้อนให้เห็นความรักของพระองค์ ต่อผู้คนในชุมชนของเราที่มีความจำเป็น เราต้องมอบความรักต่อมวลมนุษย์ ทว่าโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในหมู่คณะความศรัทธา พระคัมภีร์กล่าวว่า “ช่วยแบ่งเบาภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์”[9]

บุคคลหนึ่งอธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันในชุมชนไว้ดังนี้

เราจำเป็นต้องมีคนร่วมทางไปกับเราอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมทุกข์ร่วมสุข และจัดการกับกิจวัตรต่างๆ เราต้องการให้มีคนหัวเราะกับเรา ร้องไห้กับเรา ผู้ที่จะดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือเราและลูกหลานของเรา มีเพื่อนที่จะอธิษฐานด้วยกัน และโทรหาได้ เมื่อแบตเตอรี่รถเสื่อม และเราต้องได้รับความช่วยเหลือ เราต้องการชุมชนที่เปี่ยมล้นด้วยพระเยซู

ผมขอแนะนำว่านี่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยที่ปราศจากการปวารณาตน ... การปวารณาตนต่อกันในพระคริสต์ ความสัมพันธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ แบบที่ไม่เรียกร้องให้ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ซึ่งบ่งบอกถึงความคาดหมายที่มีต่อกัน และไม่เป็นไรเมื่อเราแตกต่างกัน โดยไม่ทำให้ใครเป็นตามที่เราต้องการ เพราะประเด็นสำคัญคือ เราแต่ละคนเป็นตามที่พระเจ้าต้องการ เราต่างก็เป็นเลิศด้วยกันทั้งนั้น!

ในการดำเนินชีวิตเช่นนี้ เราเป็นวิหารของพระองค์ เรารักพระเจ้า รักผู้อื่น และรักกัน เราช่วยให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน เราแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า เราร่วมทางไปด้วยกัน ประกอบพันธกิจด้วยกัน และเป็นอย่างที่ควรจะเป็นร่วมกัน[10]

ในชุมชนท้องถิ่นซึ่งมาเรียและผมเป็นส่วนหนึ่ง มีตัวอย่างมากมายของการดูแลใจเอาใจใส่และห่วงใยเช่นนี้ เมื่อคนอื่นในชุมชนมีความจำเป็น เช่น

  • สามีภรรยาคู่หนึ่งเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่รถของเขาอยู่ในอู่ซ่อม สมาชิก TFI ให้เขายืมรถคันที่สองของครอบครัว
  • สามีภรรยาอีกคู่หนึ่งมีธุรกิจเล็กๆ และคิดที่จะจ้างสมาชิกคนอื่นๆ ในหมู่คณะความศรัทธา เพื่อช่วยตอบสนองความจำเป็นด้านการเงิน
  • มีคนมาเยี่ยมเมืองของเรา ครอบครัวหนึ่งต้อนรับเขา และให้พักอยู่ด้วย ขณะที่เขาจัดการกิจธุระ
  • หญิงคนหนึ่งในชุมชนต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ เธอเดินเหินไม่ได้ ยกอะไรไม่ได้ หรือทำงานไม่ได้ เป็นเวลาสองสัปดาห์ ขณะที่ฟื้นตัว เราต่างก็ผลัดกันไปช่วยทำงานบ้าน และทำอาหารให้ บางคนนำอาหารพร้อมทานมาให้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเธอกับสามี
  • หญิงอีกคนหนึ่งบาดเจ็บที่เท้ารุนแรง และไม่สามารถทำอะไรได้เดือนกว่า ในช่วงนั้นเพื่อนร่วมงานช่วยทำงานแทนเธอ ขณะที่เธอฟื้นตัว

การกระทำที่มีน้ำใจเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกในเมืองของเรา เราได้ยินเป็นประจำถึงการที่มีสมาชิกรีบช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นที่ขัดสน ตัวอย่างหนึ่งที่ผมนึกได้ คือ ครอบครัวในเท็กซัส รับหญิงสาววัย 22 ปี ซึ่งกลับมาจากงานพันธกิจในต่างแดนที่อินโดนีเซีย เพื่อเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยเคมีบำบัด ความเอื้อเฟื้อของเขาช่วยให้หลายเดือนสุดท้ายในชีวิตของเธอบนโลกเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม เติมเต็มด้วยความรักและการดูแลเอาใจใส่

เรื่องที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์เดียวกัน สามีภรรยาอีกคู่หนึ่งในเท็กซัสเช่นกัน ให้พ่อแม่ของหญิงสาวผู้นี้ยืมมอเตอร์โฮม เขากับลูกๆ จะได้มีที่พักระหว่างที่เธอเจ็บป่วย และในภายหลัง ขณะที่เขามารวมญาติ และวางแผนสำหรับอนาคต หลังจากที่ลูกสาวล่วงลับไปอยู่กับพระองค์แล้ว

หลายครั้งเมื่อมีความเจ็บป่วยร้ายแรงหรือการบาดเจ็บ สมาชิกทั่วโลกได้รณรงค์สนับสนุนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยการอธิษฐาน และช่วยด้านการเงิน บางคนเดินทางไกลเพื่อมาช่วยถึงที่เลย ในช่วงเวลาเช่นนี้แหละ เมื่อความรักและมิตรภาพของพี่น้องฉายแสงเจิดจ้าจริงๆ

เราได้ยินเป็นประจำถึงการที่สมาชิกรับแขกผู้มาเยือนให้พักที่บ้านของเขา ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลง จากเขตพันธกิจแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็มอบเวลา การเงิน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กำลังใจ และคำอธิษฐาน ด้วยความใจกว้าง

นอกจากเราช่วยกันได้ในเชิงปฏิบัติ และแบ่งเบาภาระกัน ยังมีแง่มุมทางวิญญาณด้วย องค์ประกอบหนึ่งในทางวิญญาณของชุมชนที่เติบโตและสมบูรณ์ คือ เมื่อเราปลีกเวลามาให้กำลังใจกัน

ขอหยิบยกข้อความของ จอห์น ออทเบิร์ก มาเอ่ยอ้างอีกครั้ง

ในทุกวัน ทุกคนที่คุณรู้จักต้องเผชิญหน้ากับชีวิต ราวกับว่าไม่รู้จักจบสิ้น ชีวิตมีวิถีทางเหยียบย่ำผู้คน ทุกชีวิตจำเป็นต้องมีคนให้กำลังใจ ทุกชีวิตจำเป็นต้องมีใครเป็นบ่าให้พักพิงในบางครั้ง ทุกชีวิตจำเป็นต้องได้รับคำอธิษฐาน เพื่อยกชูเขาต่อพระเจ้า ทุกชีวิตจำเป็นต้องมีคนโอบกอดบางครั้ง ทุกชีวิตจำเป็นต้องได้ยินเสียงใครคอยบอกว่า “อย่ายอมแพ้”[11]

เมื่อเราเสริมสร้างและยกชูพี่น้อง เมื่อนั้นเราก็เป็นส่วนหนึ่งในแรงงานของเขาด้วย พระเจ้าเท่านั้นที่ทราบว่ากี่ครั้งกี่หนที่สิ่งยิ่งใหญ่กระทำโดยชายหญิงของพระเจ้าตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เป็นไปได้เพราะความช่วยเหลือจากผู้มีความเชื่ออีกคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ให้กำลังใจและอธิษฐาน

ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้ ทุกคนต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ว่าเราจะเต็มใจยอมรับหรือไม่ การยกชูและให้กำลังใจคนในหมู่คณะผู้มีความศรัทธา จะช่วยเติมพลังที่จำเป็นให้แก่งานพันธกิจ และการกระจายพระกิตติคุณ ขณะที่เราแต่ละคนได้รับกำลังใจจากผู้อื่น เพื่อให้ทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ยิ่งกว่าที่เราคงจะตระหนักเสียอีก

พระคัมภีร์กล่าวว่า

เป็นการดีและน่าชื่นใจยิ่งนัก เมื่อพี่น้องอยู่ร่วมกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน![12]

ความสามัคคีไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเห็นพ้องต้องกันในทุกสิ่ง หรือมีความสนใจหรือความเห็นเหมือนกัน ดังที่ข้อความน่าขบขันกล่าวว่า “เราเรียนรู้จากดินสอสีได้อย่างมาก บ้างก็แหลมคม บ้างก็สวย บ้างก็ทื่อ ขณะที่บางแท่งสีสดใส บ้างก็แปลกๆ ทว่าทั้งหมดรวมกันอยู่ในกล่องเดียว”[13]

ความสามัคคีมาจากการที่คุณยอมรับข้อแตกต่างของกันและกัน โดยมุ่งเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งมีเหมือนกัน เช่น ศรัทธาในพระคำ ความปรารถนาที่จะเติบโตทางวิญญาณ การมีแรงใจที่จะประกาศพระกิตติคุณ และเป็นพลังที่จะบำเพ็ญประโยชน์ในบ้านเมือง

การดำเนินชีวิตด้วยความสามัคคี ไม่เพียงแต่น่าชื่นชม และเป็นสักขีพยานต่อผู้อื่น ทว่ายังช่วยให้การงานที่ทำเพื่อพระองค์มีประสิทธิผลมากขึ้น เมื่อทำร่วมกัน เราก็ก้าวไปได้ไกลกว่า และเร็วกว่า เมื่อร่วมมือกันเราก็เคลื่อนขุนเขาได้

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักสร้างสะพานชั้นยอดในประเทศ เขาสร้างสะพานใหญ่ที่สุดและแข็งแรงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เขาป่าวประกาศว่าไม่มีอะไรทำให้สะพานพังได้ สะพานนี้ทนน้ำหนักของรถจำนวนนับไม่ถ้วนก็แทบจะว่าได้ สิ่งเดียวที่นักออกแบบบอกว่าอาจทำลายสะพานได้คือ คนจำนวนสองสามร้อยคนเดินข้ามสะพานอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้นเขาจึงออกคำเตือนว่าถ้ามีกลุ่มใดเดินขบวนข้ามสะพาน ไม่ว่าจะเป็นทหารเดินทัพ หรือวงดนตรี เขาต้องเดินแบบไม่พร้อมเพรียงกัน หาไม่แล้วสะพานจะพัง นี่เป็นภาพประกอบถึงพลังความสามัคคี[14]

ผลกระทบจากการเปลี่ยนโลกด้วยความรักของพระองค์ จะสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ถ้าเราก้าวไปด้วยความสามัคคี พระคัมภีร์กล่าวว่าคนหนึ่งขับไล่คนนับพัน แต่สองคนขับไล่คนนับหมื่นให้หนีกระเจิงไป[15] เป็นจำนวนที่ทวีคูณมากกว่าหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นเพียงความแตกต่างระหว่างหนึ่งกับสองคน

พระเจ้าต้องการให้เรารักเพื่อนมนุษย์ทุกคน โดยเป็นตัวอย่างถึงคุณสมบัติของพระองค์ต่อผู้ที่เราพบปะ และมีสัมพันธภาพด้วยเป็นประจำทุกวัน ทว่าพระองค์ใส่ใจยิ่งกว่านั้นอีก ในการที่เรามอบความรักต่อเพื่อนคริสเตียนด้วยกัน ซึ่งเป็นดุจร่างของพระคริสต์ ท่านเปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อมีโอกาสให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ”[16]

ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะห่วงใยและมอบความเกื้อหนุน ไม่ว่าในทางวิญญาณหรือทางปฏิบัติ ต่อเพื่อนผู้มีความเชื่อด้วยกัน พระเยซูตั้งตอบคำถามข้อนั้น เมื่อพระองค์กล่าวว่า “ถ้าพวกท่านรักซึ่งกันและกัน คนทั้งปวงจะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”[17]

ความรักสำคัญที่สุด พระเยซูต้องการให้เรา คือผู้ติดตามของพระองค์ เป็นที่รู้จักเพราะความรักของเรา ดังนั้นเมื่อเราหาทางก่อร่างสร้างชุมชน และปลูกฝังสำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งของภราดรภาพ และมิตรภาพ ขอให้เราทำเช่นนั้นเพื่อความรัก และทำด้วยความรักของพระคริสต์ที่ครองใจเรา 


 

[1] ยอห์น 15:12-13

[2] กาลาเทีย 6:10

[3] 1 ยอห์น 3:16

[4] สดุดี 133:1

[5] กาลาเทีย 6:2

[6] จอห์น ออทเบิร์ก ในเรื่อง The Me I Want To Be (แกรนด์ราปิดส์: สำนักพิมพ์ซอนเดอร์แวน ค.ศ. 2010) หน้า 182, 186

[7] ปีเตอร์ ดับบลิว มาร์ที บทความ "Community as a Way of Life" (หมู่คณะคือวิถีชีวิต) ในนิตยสาร The Christian Century ฉบับ วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2005 หน้า 8–9  (ปีเตอร์ ดับบลิว มาร์ที ศิษยาภิบาลอาวุโส ประจำโบสถ์เซนต์พอล ลูเธอแรน ในดาเวนพอร์ต รัฐไอโอวา)

[8] มัทธิว 12:49-50

[9] กาลาเทีย 6:2

[10] อาร์เธอร์ สจ๊วต ในเรื่อง “Why Christian Community Requires Choice”  11 มีนาคม ค.ศ. 2013

[11] ออทเบิร์ก ในเรื่อง The Me I Want To Be หน้า 188

[12] สดุดี 133:1

[13] โรเบิร์ต ฟูลกัม

[14] ดังที่ บอกเล่าโดย ทอม บราวน์

[15] พระบัญญัติ 32:30

[16] กาลาเทีย 6:10

[17] ยอห์น 13:35