ค่านิยมหลักของ TFI: การใฝ่หาพระวิญญาณของพระเจ้า

กันยายน 24, 2013

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในบัญญัติของพระเยโฮวาห์ เขาไตร่ตรองถึงบัญญัติของพระองค์ ทั้งวันทั้งคืน[1]

พระคำของพระองค์เป็นโคมส่องเท้าของข้า และเป็นแสงสว่างส่องทางให้ข้า[2]

พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาของเราจะรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา[3]

จงให้พระคำของพระคริสต์ดำรงอยู่ในท่านอย่างบริบูรณ์ด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ จงร้องเพลงด้วยใจขอบคุณของท่าน ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า[4]

พระเจ้ากล่าวว่าในวันสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเรามาเหนือมนุษย์ทั้งปวง บุตรชายบุตรสาวของท่านจะพยากรณ์ คนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น ในคราวนั้นเราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาสู่ผู้รับใช้ของเรา และคนเหล่านั้นจะพยากรณ์[5]

พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง[6]

ค่านิยมหลักอันดับสองของเดอะแฟมิลี่นานาชาติ คือ

การใฝ่หาพระวิญญาณของพระเจ้า เราปรารถนาที่จะล่วงรู้และเข้าใจความจริงในพระคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นแก่นแท้ของคุณลักษณะจากเบื้องบน เราเห็นคุณค่าหลักพื้นฐานของพระคำที่เป็นลายลักษณ์อักษร การรับฟังจากพระเจ้า และการติดตามแนวทางของพระองค์

พระวิญญาณของพระเจ้าในใจเรามอบพลัง เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป ดลใจ และกระตุ้นเราให้ทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการมอบความรักให้แก่ผู้อื่น การสอน การประกาศ การบอกกล่าว การสร้างสรรค์ และอื่นๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์คือส่วนที่มีชีวิตชีวาของพระเจ้า ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในเรา แรงจูงใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ชี้แนะนำทางจิตสำนึกของเรา และมอบพลังให้เราดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้า

คำหลักในการใฝ่หาพระวิญญาณของพระเจ้า คือคำว่า ใฝ่หา ซึ่งมีคำนิยามว่า การพยายามอย่างหนักที่จะบรรลุผลหรือได้รับบางสิ่งในช่วงเวลาหนึ่ง การทุ่มเทแรงงาน การมุ่งมั่นเพื่อให้ได้มา หรือบรรลุผลสำเร็จ การถือปฏิบัติอย่างเป็นระเบียบ

ดังที่หยิบยกมากล่าวไว้ในคำนิยาม การใฝ่หาพระวิญญาณของพระเจ้าต้องมีการลงมือปฏิบัติ ถ้าหากคุณใฝ่หาที่จะได้ปริญญาโท ก็หมายความว่าคุณต้องทุ่มเทแรงงานและเวลาในการศึกษาตามสาขาวิชา ถ้าคุณใฝ่หาที่จะประกอบอาชีพในการเล่นกีฬาชนิดใดโดยเฉพาะ คุณก็ต้องทุ่มเทเวลาฝึกฝน และออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสมรรถภาพสำหรับการแข่งขัน

พระวิญญาณของพระเจ้ากล่าวกับเราผ่านพระคำ ก่อนอื่นก็กล่าวผ่านพระคัมภีร์ จากนั้นก็กล่าวผ่านลู่ทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อเขียนหรือถ้อยคำของคนอื่น หรือผ่านคำพยากรณ์ นิมิตหมาย ฯลฯ พระคำเตรียมจิตใจเราให้พร้อมที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะดำเนินงาน โดยเปิดความคิดจิตใจและวิญญาณของเรา ต่อแรงชักจูงของพระวิญญาณ จากนั้นก็เราก็มีความรับผิดชอบที่จะติดตามการชี้นำของพระเจ้าในชีวิตเรา

เราปรารถนาที่จะได้ยินเสียงของพระองค์ และได้รับการชี้นำจากพระองค์ เราต้องการให้กฎเรื่องความรักของพระองค์นำทางชีวิตเรา หลักศีลธรรมจรรยาที่พระเจ้ามอบไว้ในใจเรานั้นเป็นสิ่งที่ครอบครองใจเรา ดังนั้นการกระทำของเราจึงมีความรักและความสัตย์จริงเป็นแรงผลักดัน เราต้องการให้พระวิญญาณของพระองค์นำทางเราไปสู่สติปัญญา ความจริง และความรัก ที่มีต่อพระองค์และผู้อื่น

เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ คนเราตอบรับต่อความสำนึกจากพระวิญญาณในชีวิตเขาอย่างไร คือทางเลือกและศรัทธาที่เขามีเป็นส่วนตัว แต่ก็สำคัญที่จะเปิดใจและปรับตัวต่อแรงดลใจจากพระวิญญาณในชีวิตจิตใจของคุณ

องค์ประกอบสำคัญในการให้พระเจ้านำทางเรา ในการค้นพบการชี้นำจากพระองค์ และติดตามพระองค์ ก็คือ การมีพื้นฐานในพระคำของพระองค์

เราเชื่อว่าการเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้า โดยแสวงหาที่จะรู้จักและเข้าใจความจริงจากพระคำของพระองค์ คือสิ่งสำคัญอันดับสูงสุดสำหรับทุกคนที่เป็นผู้ติดตามพระคริสต์ พระเจ้าเผยพระองค์เองต่อมนุษย์ โดยผ่านพระคัมภีร์ นั่นเป็นสิ่งที่แสนวิเศษ ไม่ใช่หรือ การเข้าใจพระคำของพระเจ้าช่วยให้เราค้นพบแผนการที่พระเจ้าวางไว้ให้เรา ขั้นต่อไปก็คือ การดำเนินชีวิตตามความจริงนั้นในชีวิตประจำวัน โดยทำอย่างสุดความสามารถ ด้วยความปรานีของพระเจ้า

การที่จะดำเนินชีวิตตามความจริงดังกล่าว เราต้องเข้าใจความจริงนั้น การที่จะเข้าใจ เราก็ต้องใฝ่หา ซึ่งหมายความว่าการพยายามให้ได้มา และการทุ่มเทเวลาให้ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

เมื่อมีคนถามพระเยซูว่าบัญญัติข้อสำคัญที่สุดของพระเจ้า คืออะไร พระองค์บอกว่าให้รักพระเจ้าด้วยความคิดจิตใจ วิญญาณ และพละกำลัง พระองค์เอ่ยถึงความคิดไว้เป็นพิเศษ[7] เมื่อคุณปรารถนาที่จะล่วงรู้และเข้าใจพระคำของพระเจ้า คุณก็ต้องใช้ความคิด นั่นต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่เพียงแค่อ่าน ทว่าต้องเรียนรู้ ศึกษา และเติบโตในความเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจว่าพระองค์เป็นใคร โดยที่หยั่งรู้ถึงสภาพเบื้องบนของพระองค์ ความรักที่มีต่อพระองค์ ความเกรงขามต่อพลังของพระองค์ ความรัก และสติปัญญา ก็จะเพิ่มพูน เมื่อรู้จักพระองค์ดีขึ้น เราก็ยิ่งใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น

พระคัมภีร์คือถ้อยคำที่พระเจ้ากล่าวกับเราแต่ละคนเป็นส่วนตัว คุณจะค้นพบคำปรึกษาและคำตอบในนั้น เมื่อคุณแสวงหาแนวทางของพระองค์ในชีวิตคุณ เมื่อคุณขอคำตอบจากพระองค์ ขอการชี้นำและแนวทาง ขอทางแก้ ก็ค้นดูในข้อพระคัมภีร์ และให้พระองค์กล่าวกับคุณ ผ่านพระคำ และผ่านการชี้นำจากพระวิญญาณ

ศรัทธาที่เรามีในพระเจ้า และความเข้าใจในพระองค์ จะทวีคูณยิ่งขึ้น เมื่อเราอ่านและศึกษาพระคำมากขึ้น ศรัทธาก่อร่างสร้างขึ้นจากการหมั่นศึกษาพระคำของพระเจ้า และการนำคำสอนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

ถ้าคุณอ่านพระคัมภีร์ คุณจะพบนิมิตหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง และค้นพบความจริงมากยิ่งขึ้น โดยค้นพบชิ้นส่วนภาพปริศนาที่ยิ่งใหญ่ ในภาพรวมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของพระเจ้า[8]

เซซิล บี เดอมิลล์ (ค.ศ.1881-1959) ผู้ผลิตภาพยนตร์ลือชื่อ เรื่อง “บัญญัติสิบประการ” กล่าวว่า “หลังจากอ่านพระคัมภีร์แทบทุกวัน เป็นเวลากว่า 60 ปี ผมมักจะพบอะไรใหม่ๆ ที่สอดคล้องอย่างตัวกับความจำเป็นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน”

จอร์จ มูลเลอร์ (ค.ศ.1805-1898) กล่าวว่า “พลังในชีวิตทางวิญญาณของเรา จะมีสัดส่วนตามตำแหน่งที่เราวางพระคัมภีร์ไว้ในชีวิตและความนึกคิดของเรา”

อะไรคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต ที่พรั่งพรูมาจากพระเจ้า พระคำนั่นเอง! พระคำของพระองค์มอบชีวิต อาหาร การหล่อเลี้ยง พละกำลัง และสุขภาพทางวิญญาณให้แก่เรา พระเยซูกล่าวไว้ว่า “ถ้อยคำที่เรากล่าวแก่ท่าน เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต!”[9]... ไม่มีสิ่งใดทรงพลังยิ่งกว่าพระคำของพระเจ้า! พระคำคือเคล็ดลับที่นำไปสู่พลัง ชัยชนะ การฟันฝ่า การก่อเกิดผล ความกระตือรือร้น ชีวิต ความอบอุ่น แสงสว่าง และภาวะผู้นำ! เคล็ดลับของทุกสิ่งที่ดีงาม คือ พระคำของพระเจ้า![10]

ผมชอบอ่านหนังสือหลากหลายประเภท โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ และนิยายประวัติศาสตร์ ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่ผมจดจ่อกับการศึกษาพระคัมภีร์ ผมก็ยิ่งมีความปรารถนาแรงกล้ามากขึ้นเกี่ยวกับการศึกษาพระคัมภีร์ เมื่อก่อนผมเคยพอใจกับการอ่านพระคำของพระเจ้า โดยไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ผมได้รับการหล่อเลี้ยงทางวิญญาณ แต่ผมพบว่าเมื่อผมทุ่มเทเวลาและความพยายามในการศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น โดยเรียนรู้สิ่งที่พระคัมภีร์บอกกล่าวเกี่ยวกับพระเจ้า และพยายามเข้าใจสิ่งที่พระคัมภีร์สอนให้ลึกซึ้งมากขึ้น ผมก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง และเปลี่ยนไป ผมขอบคุณอย่างยิ่งที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่หาข้อมูลทางออนไลน์ และสิ่งพิมพ์ที่มีไว้ให้ศึกษามากมาย แต่ก็ยังต้องอาศัยความพากเพียรในการศึกษา ทว่าง่ายกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ผมมีเป้าหมายที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้แก่คุณ ผ่านข้อความที่โพสต์ไว้ในมุมผู้ชี้ทาง

เซอร์ วอลเทอร์ สก็อต (ค.ศ.1771-1832) กวีและนักเขียนนวนิยาย กล่าวไว้ว่า “นักศึกษาผู้เรียนรู้มากที่สุด เฉียบแหลม และขยันขันแข็ง ถึงแม้จะศึกษาชั่วชีวิต ก็ไม่สามารถมีความรู้ทั้งสิ้นจากพระคัมภีร์ ยิ่งเขาขุดลึกเท่าไร เขาก็ยิ่งร่ำรวย และพบแหล่งขุมทรัพย์มากขึ้นเท่านั้น”

แน่นอนว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือเล่มเดียวในโลกที่คนเราควรจะอ่าน ทว่าเป็นหนังสือที่เราควรอ่าน ตรึกตรอง ศึกษา และซึมซับ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้ทั้งนั้น พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เผยว่าพระเจ้าบอกกล่าวอะไรบ้างเกี่ยวกับพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยถ้อยคำของพระองค์ถึงเรา คำตอบของพระองค์ต่อชีวิตที่เราดำเนินอยู่ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตภายภาคหน้า พระคัมภีร์สอนเราว่าจะติดต่อกับพระองค์ได้อย่างไร และจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นได้อย่างไร เหนือสิ่งอื่นใด พระคัมภีร์บอกเราว่าจะผูกสัมพันธ์กับพระองค์ได้อย่างไร รวมทั้งการรับพระองค์ไว้ในชีวิตเรา และเชื่อมโยงกับพระองค์

การอ่าน เชื่อ และซึมซับพระคำของพระเจ้า จะเปลี่ยนเราอย่างลึกซึ้ง

ดังที่ ดี แอล มูดี้ (ค.ศ.1837-1899) กล่าวไว้ว่า “พระคัมภีร์ไม่ได้มอบไว้เพื่อให้เรามีความรู้มากขึ้น ทว่าเพื่อเปลี่ยนชีวิตเรา”

ชาร์ลส์ โคลสัน (ค.ศ.1931-2012) กล่าวว่า “พระคัมภีร์ถูกสั่งห้าม ถูกเผา แต่ยังเป็นที่รักของผู้คนมากมาย มีคนอ่านพระคัมภีร์อย่างแพร่หลาย และถูกโจมตีมากกว่าหนังสือเล่มใดในประวัติศาสตร์ ปัญญาชนหลายยุคหลายสมัยพยายามทำให้พระคัมภีร์หมดความน่าเชื่อถือ เผด็จการในทุกสมัยสั่งให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และประหารผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ ทว่าทหารนำติดตัวไปสู้ศึก โดยเชื่อว่ามีพลังมากกว่าอาวุธ มีการลักลอบพระคัมภีร์บางส่วนเข้าไปในห้องขังเดี่ยว โดยเปลี่ยนนักฆ่าจอมโหดให้กลายเป็นนักบุญผู้อ่อนโยน”

ดังที่คุณคงทราบดี ชาร์ลส์ โคลสัน เป็นที่ปรึกษาพิเศษของประธานาธิบดีนิกสันแห่งสหรัฐฯ เขาถูกจำคุกเจ็ดปีในเรือนจำรัฐ เขาเป็นสมาชิกคนแรกในฝ่ายบริหารของนิกสันที่ถูกจำคุก เพราะคดีที่เกี่ยวโยงกับวอเตอร์เกท ขณะที่โคลสันเผชิญหน้ากับการถูกจับกุม เพื่อนสนิทมอบสำเนาหนังสือ Mere Christianity โดย ซี เอส ลูวิส ให้เขา หลังจากอ่านแล้ว ได้นำทางเขาให้กลายเป็นคริสเตียน ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านเรื่องราวสักขีพยานน่าซาบซึ้งใจของอีกชีวิตหนึ่งที่เปลี่ยนไป เป็นเรื่องของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ผู้เชื่อมั่นว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีพระเยซู เขาไม่เชื่อเช่นกันว่าพระคัมภีร์คือพระคำของพระเจ้า บุตรชายของเขาเป็นคริสเตียนผู้บังเกิดใหม่ ได้เป็นพยานกับเขาหลายปี ทว่าไร้ผล จนกระทั่งเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกะทันหันได้เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง บุตรชายเขาต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเหตุฉุกเฉิน เขาอาการสาหัส อยู่ห้องไอซียู บุตรชายบอกผู้เป็นพ่อว่า “พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ถ้าพระเจ้าประสงค์ให้ผมเจ็บป่วย เพื่อพ่อจะได้หันมาหาพระคริสต์ ทุกอย่างที่ผมต้องประสบก็คุ้มค่าแล้ว” ไม่ต้องบอกเลยว่าผู้เป็นพ่อตะลึงงัน

ผู้เป็นพ่ออ่านพระคัมภีร์ให้บุตรชายฟังอยู่หลายวัน ขณะที่เขานอนในห้องไอซียู จากการอ่านพระคัมภีร์เป็นครั้งแรกในชีวิต ผู้เป็นพ่อเริ่มเห็นว่าที่จริงแล้วพระคัมภีร์เกี่ยวกับอะไร และพระเยซูเป็นใคร เมื่อได้เห็นบุตรชายมีศรัทธาแรงกล้าในพระเยซู ประกอบกับสิ่งที่เขาอ่านในพระคัมภีร์ เขาตระหนักว่าพระเยซูมีจริง เขายอมถวายชีวิตให้พระคริสต์ บุตรชายดีใจเป็นล้นพ้น บุตรชายกลับไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ หลังจากนั้นไม่นาน ทว่าผู้เป็นพ่อมีสันติสุขที่เหนือล้ำความเข้าใจ โดยรู้ว่าเขาจะได้พบกันอีก และได้อยู่ด้วยกันตลอดไปในสวรรค์

ชีวิตของเราจะดีขึ้น เมื่อเราซึมซับพระคำของพระเจ้า ต้องอาศัยความพากเพียรเพื่ออ่านและศึกษาพระคำของพระองค์ แต่เมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็เชื่อมสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กับพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราพยายามใช้เวลาอ่านพระคำของพระองค์เป็นประจำ เมื่อเราฝึกมีวินัย เพื่อทุ่มเทเวลาและความพยายาม ถ้าเราเต็มใจใฝ่หา เราจะอยู่ในพระองค์อย่างบริบูรณ์ การใช้เวลากับพระคำของพระองค์ คือการใช้เวลากับพระองค์

ดังที่ผู้ประพันธ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ เราไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ เราอยากอ่านพระคัมภีร์ เราได้อ่านพระคัมภีร์ นี่เป็นสิทธิพิเศษ ไม่ควรมีใครบอกผมว่า “คุณต้องจูบภรรยา” ไม่ต้องหรอก ผมได้จูบเธอ ผมอยากจูบเธอ เพราะผมรักเธอ[11] พวกเราที่มีความปรารถนาแรงกล้าต่อพระเจ้า ผู้ซึ่งรักพระองค์ และเต็มใจใฝ่หาพระวิญญาณ โดยอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์ เราอยากได้ยินจากพระองค์ และติดตามพระองค์ หนึ่งในวิธีแรก คือ การใช้เวลาอ่านพระคำ

เราไม่ได้ศึกษาเพียงเพราะว่าเราต้องการมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า และสภาพเบื้องบนของพระองค์ เราศึกษาเพราะว่าเราต้องการรู้จักพระองค์ให้ดีขึ้น รักพระองค์มากขึ้น และให้พระองค์มีส่วนร่วมในชีวิตเรา เราปรารถนาให้พระองค์นำทาง ได้ยินเสียงพระองค์ และติดตามการชี้นำจากพระองค์

พระเจ้ากล่าวกับเราด้วยวิธีต่างๆ เราจะได้ยินพระองค์ ถ้าเรารับฟัง เรารับฟังเมื่อเราตรึกตรองถึงพระคำของพระองค์ เมื่อเราขอให้พระองค์แสดงต่อเรา ว่าจะนำสิ่งที่อ่านมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันอย่างไร นอกจากนี้เรารับฟังเมื่อเราอยู่เงียบๆ และให้โอกาสพระองค์บอกกล่าวกับเรา นี่ต้องอาศัยความพากเพียรเช่นกัน เมื่อเราเปิดใจฟังเสียงของพระองค์ และพร้อมรับ ไม่ว่าพระองค์ต้องการบอกกล่าวกับเราอย่างไร ไม่ว่าจะผ่านความนึกคิดที่พระองค์ให้ผุดขึ้นมา ผ่านเสียงของพระองค์ในคำพยากรณ์ ผ่านพระคำที่บันทึกไว้ หรือกล่าวกับเราผ่านคริสเตียนคนอื่นๆ กุญแจสำคัญคือการเปิดใจ โดยให้วิญญาณของเราสงบเงียบ รับฟัง และตั้งใจ

เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าต้องการกล่าวกับเราโดยเฉพาะ พระองค์จะทำเช่นนั้น ถ้าเราปลีกเวลาไว้รับฟังพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นคำพยากรณ์ หรือผ่านเสียงกระซิบ หรือเสียงจากพระคำ มีส่วนช่วยได้ที่จะวางสมุดโน้ตไว้ใกล้ๆ หรือมีวิธีบันทึกข่าวสารที่พระองค์มอบให้ เพื่อจะได้จดจำคำแนะนำหรือแนวทางจากพระองค์

พระคัมภีร์เผยให้เราเห็นความประสงค์โดยทั่วไปของพระเจ้า แต่ความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับรายบุคคลที่เฉพาะเจาะจงนั้น พระเจ้าคาดหมายให้เราแต่ละคนแสวงหาพระองค์ เพื่อขอแนวทาง และการนำความประสงค์ทั่วไปของพระองค์มาปรับใช้ในชีวิตเราโดยเฉพาะ

เครื่องหมายบ่งบอกหลักการที่เป็นแนวทางของ TFI คือ การที่เรามีเสรีภาพที่จะติดตามพระเจ้า และแนวทางสดๆ ร้อนๆ จากพระองค์ในแต่ละวัน เราให้คุณค่าอย่างมาก ต่อการได้รับแนวทางจากพระวิญญาณ การนำพาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ การรับฟังจากพระเจ้า และการรับคำแนะนำจากพระองค์เป็นส่วนตัวสำหรับวันนี้ ดังที่กล่าวไว้ในถ้อยแถลงเรื่องความศรัทธาของเรา “เราเชื่อว่าพระเจ้ายังทรงพระชนม์ พระองค์ยังคงบอกกล่าวกับผู้คนของพระองค์ในทุกวันนี้ โดยถ่ายทอดข่าวสารของพระองค์ถึงเรา ผ่านนิมิตหมาย คำพยากรณ์ ถ้อยคำที่เป็นแนวทาง และคำปรึกษาด้านจิตวิญญาณ”

พระเจ้าคือเพื่อนคู่ชีวิต พระองค์ต้องการมีส่วนในชีวิตเราอย่างแข็งขัน พระองค์ต้องการชี้แนะ นำทาง และช่วยเราให้ตัดสินใจถูกต้อง เมื่อเราติดตามพระองค์ ก็จะเปิดโอกาสให้พระองค์มีแรงชักจูงในชีวิตเรา โดยมีจิตสำนึกที่จะขอแนวทางจากพระองค์ และทำตามที่พระองค์แสดงให้เห็น นี่เป็นการสนทนากับพระองค์ พูดคุยกับพระองค์ เหมือนพูดคุยกับเพื่อนสนิท และรับฟังเสียงกระซิบจากพระองค์

พระเจ้ารักเรา พระองค์อยู่ฝ่ายเรา เราไว้วางใจพระองค์ได้ เมื่อเราทำเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทำให้เราผิดหวัง พระองค์จะชี้นำเรา เมื่อเราใฝ่หาพระวิญญาณของพระเจ้า เมื่อเราพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์ ผ่านพระคำของพระองค์ ผ่านการรับฟังเสียงของพระองค์ และเมื่อเราติดตามพระองค์ เราจะดำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เราจะเติมเต็มด้วยพระเจ้า และมีพระเจ้าคอยนำทาง เราจะเปี่ยมด้วยความรัก ความยินดี และความพึงพอใจล้นพ้น



[1] เพลงสดุดี 1:2

[2] เพลงสดุดี 119:105

[3] ยอห์น 14:23

[4] โคโลสี 3:16

[5] กิจการ 2:17-18

[6] ยอห์น 4:24

[7] มาระโก 12:30

[8] เดวิด บรานท์ เบิร์ก ใน “ชีวิตใหม่ รักใหม่” มิถุนายน ค.ศ. 1978 เลขที่ 731:10–12 (ปรับเปลี่ยน)

[9] ยอห์น 6:63

[10] Daily Might  วันที่ 22 มีนาคม (ออโรร่าโปรดั๊กชั่น ค.ศ. 2004)

[11] โทนี เมริดา ในเรื่อง "Letting the Word Dwell in You Richly" นำเสนอ 16 กันยายน ค.ศ. 2013